ไม่เห็นสนุกเลยสักนิด!!!อามิษระบายความอัดอั้นในใจเงียบๆ พลางนึกสงสัยว่ายูริเอลผู้ทิ้งตำแหน่งคิงเอาไว้ให้เธอและหนีไปเที่ยวเมืองนอกสบายใจเฉิบจะคาดคิดถึงรึเปล่าว่างานมันหนักหนาแค่ไหน?
หรือเจ้าตัวเป็นมาโซคิสม์...ชอบเข้าไปได้ยังไงฟระ! ไอ้งานที่ดูแล้วก็ไม่มีอะไรดีแบบนี้
หลังจากที่ต้องร่วมพิธีเปิดงานจนขาแข็งและกล่าวสุนทรพจน์(อีกครั้ง) ก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเดินซื้อของกินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ
ช้อนปลาทอง...มันก็ไม่ต่างจากการทรมานสัตว์ เธอชอบสัตว์เลี้ยงนะ แต่ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์
ปาเป้า...ถ้าเธอเล่นก็รังแต่จะถูกตราหน้าว่ามาเพื่อทำให้ร้านเจ๊งมากกว่า..ก็นะ เธอน่ะเซียนเกมส์ตัวยงเลยล่ะ ...
เจ้าตัวเดินเตร็ดเตร่มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำไปอีกฟากบริเวณหลังงาน คิดว่าจะข้ามฟากไปนั่งเล่นนอนเล่นอยู่แถวนั้นสักหน่อย หากแต่พบร่างของราคะที่ยืนล้วงกระเป๋าสูบบุหรี่อยู่
เจ้าตัวดึงบุหรี่ของอีกฝ่ายออกจากปากก่อนจะโยนลงน้ำ
“ไหนว่าจะหลีสาว”
“ว้า..วันนี้มีแต่พวกมีเจ้าของแล้วแฮะ ก็บอกแล้วไงว่าพี่เป็นสุภาพบุรุษ ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ พี่ก็ไม่เอาหรอก”
พูดจบแล้วก็ยิ้มเผล่ อามิษหัวเราะหึๆ
“ฉันเองก็ไม่มีคู่ซะด้วยสิ ไปอีกฟากกันมั้ย? ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้วนี่”
“ไปสิ”
ราคะตอบง่ายๆก่อนจะเอื้อมมือมาจับมืออามิษเป็นบ่นพึมพำ
“หนาวชะมัด คืนนี้น่ะนะ”
“อือ ก็นี่ล่อซะช่วงกลางฤดูหนาวแล้วนี่นา เอาน่า ถ้าผ่านวาเลนไทน์ก็พ้นหน้าหนาวแล้ว”
“อยากให้รีบผ่านไปไวๆงั้นเหรอ? ฤดูหนาวน่ะ”
ราคะย้อนถาม อามิษเงยหน้ามองท้องฟ้าไปพลางเดินฝ่าท่ามกลางความมืดกับแสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆไปพลาง
“อื้ม แหงล่ะ ก็เผ่าฉันไม่ชอบฤดูหนาวน่ะ ที่สูญพันธุ์กันทุกวันนี้ก็เพราะอ่อนแอช่วงฤดูหนาวนี่ล่ะ”
“แต่พี่ชอบฤดูหนาวนะ”
“หา? อะไรกัน พี่เป็นงูนะ”
“ฤดูหนาวมันเป็นฤดูที่เป็นนิรันดร์น่ะ”
ราคะตอบนิ่งๆ
“ถึงจะไม่เข้าใจ แต่จะพยายามละกันนะ คงจะยากหน่อยล่ะ สำหรับคนที่ชอบฤดูหนาวแต่อยู่ไม่ได้อย่างฉันน่ะ”
“ไหนเมื่อกี้บอกไม่ชอบ?”
“เปล่า ฉันบอกว่าเผ่าฉันไม่ชอบต่างหาก ฉันชอบนะ แต่ขอโทษเถอะค่ะ อยู่ไม่ได้เลย จะบ้าตาย หิมะฉันยังไม่เคยแตะด้วยซ้ำ”
“วาเลนไทน์นี้อยากลองจับดูมั้ยล่ะ?”
“หือ?” อามิษเลิกคิ้วอย่างสนใจ “ได้เหรอๆ?”
“ได้”
“สัญญาแล้วนะ”
“อืม”
จบประโยค ราคะก็เลื่อนมือขยี้หัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่อามิษจะว้ากลั่น “เดี๋ยวสิ!! ใส่ผ้าพันคออยู่นะ ถ้าขยี้ผมมันจะจัดทรงยาก รู้มั้ย!”
“ปรกติผมก็ยุ่งอยู่แล้ว”
“เขาเรียกปลายแหลมๆต่างหาก”
“พี่รึก็หลงนึกว่าเธอผมจะเป็นงู”
“ฉันไม่ใช่เมดูซ่านะ!!!”
อามิษตวาดแหวพลางหัวเราะไปด้วย ก่อนจะดึงตัวราคะให้นอนลงบนพื้นหญ้า
“แต่คืนนี้เห็นดาวชัดเนอะ”
“อืม”
“สวยดีๆ”
“วันนี้พูดมากเป็นพิเศษแฮะ”
“ปรกติก็พูดมากนี่นา”
“รู้ตัวด้วยเหรอ?”
“ฉันไม่หลงตัวเองแบบพี่นา…”
“หือ? พี่หลงตัวเองเรื่องอะไร”
“เห็นย้ำอยู่ทุกวันว่าหน้าตาดี”
“แล้วพี่หน้าตาไม่ดีเหรอ?”
“หล่อมาก”
“เอ้า ก็ถูกแล้วนี่”
ราคะหัวเราะหึๆ ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่เราเถอะ ร้ายไม่เบาเหมือนกันนี่ แต่งานเทศกาลกับหาคนควงไม่ได้งั้นเหรอ?”
“เปล่าหรอก รำคาญน่ะ ฉันล่ะจะบ้าตาย แค่งานเปิดพิธีก็แทบอยากหนีกลับโรงเรียนแล้ว”
“ไม่ชอบงั้นเหรอ?”
“ทรมานมากมาย ฉันยืนพูดเป็นนังบ้าอยู่ได้ตั้งนานสองนาน พูดไม่นานก็โดนขว้างค้อน พูดนานก็ง่วง”
“น่าสงสาร”
“งั้นพี่ยังสนใจอยากสลับตำแหน่งกันอยู่มั้ยล่ะ?”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“...เห็นมั้ยล่ะ”
อามิษหัวเราะลั่น ก่อนจะถามบ้าง
“แล้วว่าแต่พี่เถอะ ทำไมถึงหลีสาวไม่ได้สักคน?”
“ก็บอกแล้วไง เขามีเจ้าของกันหมดแล้ว ว้า~ ไม่เป็นไร เอาไว้วันธรรมดา โอกาสพี่ยังมีอีกเยอะ”
“หืมม...แล้วพี่มีเจ้าของรึยัง?”
“ครอบครัวน่ะเหรอ?”
“อื้ม เอาแบบที่ไม่ใช่พี่กิเลสพี่ตัณหาน่ะ”
ราคะล้วงรูปในกระเป๋าตังค์ส่งให้อีกฝ่าย
“รูปถ่าย?”
“คนที่ยืนอยู่ข้างพี่น่ะ”
“สวยจัง…แฟนพี่เหรอ?”
อามิษแหย่เล่น ราคะแค่นหัวเราะ
“ใช่ เป็นคนเงียบๆแล้วก็ไม่ค่อยพูดเลยล่ะ”
“แล้วตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะ?”
“ยังอยู่ แต่พี่ไม่ได้กลับบ้านหรอกนะ จะว่าไป..ก็คิดถึงลูกชะมัดเลยนะ....”
“เอ๋…มีลูกแล้วงั้นเหรอ?”
“อืม ทำไม? เสียใจงั้นเหรอ?”
ราคะแหย่พลางหัวเราะ อามิษที่ดูเหมือนจะกำลังเหม่อลอยไม่ได้สนใจฟังเท่าใดนัก
“ความจริงแล้ว...ฉันน่ะนะ....”
อามิษแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเพลินในการเล่าเรื่องของตนจึงไม่ได้สังเกตที่น้ำเสียงที่เบาของเจ้าตัว จึงพูดต่อ
“จะว่าไป…ตอนที่พี่ขอแต่งงานเธอน่ะนะ....”
คงต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากๆเลยสินะ...ขนาดพี่ยังขอแต่งงานเลยแบบนี้น่ะ...
อามิษแค่นยิ้มเงียบๆก่อนจะถามต่อ “อื้ม ทำไมงั้นเหรอ?”
“เป็นครั้งแรกที่เธอพูดกับพี่ล่ะ”
“เห…”
“และเป็นครั้งสุดท้ายด้วย”
“ตายไปแล้วงั้นเหรอ?”
“ก็บอกว่ายังอยู่ไง แต่ที่ไม่พูดอีกเลยเพราะเธอเป็นคนพูดน้อย…มากๆ”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ”
“เธอจะแช่งแฟนพี่เหรอ”
ราคะพูดก่อนจะขยี้หัวอีกฝ่ายจนกลับไปยุ่งตามเดิม
“บ้า! ทำไมฉันต้องแช่งด้วย”
“เอ้า! พูดเอาไว้เพื่อหึงอะไรแบบนั้น”
“ตลกละ”
“ฮ่าๆๆ นี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้วมั้ง”
“ไม่ล่ะ..พี่ไปเถอะ ฉันยังอยากอยู่ต่ออีกแป๊บน่ะ เย็นดี”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่กลับแล้ว ราคะก็ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อนอกโยนให้อามิษแล้วหันหลังเดินไป
“รีบๆนอนนะ ฝันดี”
“พี่ก็ด้วย ฝันดีนะ”
นัยน์ตาสีเขียวแกมเหลืองมองตามอีกฝ่ายไปจนลับสายตา..ก่อนจะกอดเสื้อนอนท่ามกลางความหนาวเหน็บตรงนั้น....
.
.
.
.
กริ๊งงงงงงง
เสียงออดหมดคาบเรียนทำให้อามิษค่อยๆบิดตัวขึ้นแล้วหาว ก่อนจะมองเนื้อหาบนกระดานผ่านๆแล้วถอนหายใจ
รอดตัวไปที่เราทำเป็นแล้ว...
ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้เฮียราคะล่ะนะ เพราะเจ้าตัวติวนู่นติวนี่ให้ตั้งเยอะเลยนี่นา
เธอนั่งรออยู่ที่โต๊ะ จนเวลาผ่านไปราวๆยี่สิบนาทีได้
อ้าว…ประหลาดจัง ปรกติตอนพักต้องมายืนรอหน้าห้องแล้วนี่นา...
“นี่เจ๊..เอ๊ย อาจารย์โลหิต วันนี้พี่ราคะไปไหนน่ะ?”
เจ้าตัวเดินไปถามโลหิต ผู้มีตำแหน่งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนAYFS ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมา
“ไอ้ราคะ เอ๊ย! คุณนาคาน่ะเหรอ ดูเหมือนวันนี้จะขาดเรียนน่ะ”
โลหิตตอบ แต่อามิษสัมผัสได้ถึงการกัดฟันกรอดๆที่ต้องเรียกราคะว่า ‘คุณนาคา’
“อ๊ะ แล้วรู้รึเปล่าว่าอยู่ไหน?”
“เห็นว่าเป็นหวัด ไม่สบาย นอนตายเป็นซากงูอยู่ในห้องพยาบาลล่ะมั้ง”
“บ้าชะมัด..รู้ว่าหนาวจะถอดเสื้อให้ทำไมฟะ...”
อามิษบ่นงึมงำ โลหิตสำลักค่อกแค่ก
“ฮะ!!! ถอดเสื้อ!? เมื่อคืนพวกเธอทำอะไรกันวะ!!!”
“ไอ้เจ๊บ้า!!! ไม่ใช่แบบนั้นโว้ย!!”
“อ้อ ก็พูดส่อ”
“เสื_ก ฉันแค่พึมพำเองต่างหาก”
“เธอกล้าด่าฉันแล้วเรอะเดี๋ยวนี้น่ะ ปีกกล้าขาแข็งเหรอหา!!!”
โลหิตว้ากเป็นเด็กๆ ก่อนที่อามิษจะเอามือปิดหูแล้วเดินออกไปห้องพยาบาล
.
.
.
แกร๊ก...เสียงประตูไม้เปิดออกด้วยเสียงไม่ดังมากนักด้วยความเบามือของผู้เปิด อามิษเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบในห้องพยาบาล แอร์เย็นฉ่ำปะทะเข้ากับผิวกายทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย
อามิษหันซ้ายหันขวา ก่อนจะพบร่างของราคะที่นอนอยู่บนเตียง เจ้าตัวพยายามเดินให้มีเสียงน้อยที่สุดไปทางราคะแล้วเอามืออังหน้าผากเบาๆ
“โห..ตัวร้อน วันหลังถ้าหนาวไม่เป็นต้องทำเป็นเก่งเลย”
เจ้าตัวลากเสียงยาวก่อนจะนั่งเท้าคางมองดวงหน้าที่หลับสนิทเหมือนเด็กๆ ก่อนที่จะใช้มือยืดแก้มสองข้างไปมา
“ฮัลโหลๆๆ พี่ตื่นอยู่รึเปล่าน่ะ?”
“….”
“ไม่ตื่นแน่นะ?”
เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ (และถามแบบนี้มันก็ไม่ควรจะมี) เจ้าตัวจึงเดินไปหยิบผ้าเย็นแล้วแปะลงบนหน้าผากราคะที่ยังคงไม่รู้สึกตัว
เธอนั่งจ้องอยู่อีกสักพัก ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาแล้วบ่นพึมพำ
“ไปก่อนนะ แล้วจะมาแกล้งใหม่”
จบประโยคก็ก้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆแล้วรีบเดินออกไปก่อนที่จะมีใครมาเห็น ยังไม่ทันที่มือจะได้เอื้อมจับลูกบิดประตูกลับมีเสียงแทรกขึ้นมาซะก่อน
“แค่หอมแก้มเองเร้อ....”
!!!!บ้าชะมัด!!!!ปึง!!!!
ประตูถูกกระแทกปิดในแทบจะทันทีทันใด ราคะได้ยินเสียงของฝีเท้าที่วิ่งสะเปะสะปะเพราะความเขินของเจ้าของ ก่อนจะหัวเราะตามเบาๆ
.
.
กุ๊กๆ กุ๊กกู~ กุ๊กๆ กุ๊กกู~เสียงริงโทนประหลาดๆดังขึ้น ก่อนที่อามิษจะเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไปเนือยๆ
“…ใครน่ะ?”
“ตอนบ่ายมาเยี่ยมพี่ถึงห้องเลยเหรอ”
“รู้ตัวนี่หว่า”
“มีคนฟ้องว่าแอบลวนลามพี่”
“บ้า!!! พี่ล่ะเป็นคนเห็นเอง”
“ยอมรับแล้วล่ะสิว่าลวนลาม”
“เปล่านะ!!!” เจ้าตัวแทบอยากตบปากตัวเองที่หลุดไต๋ไปง่ายๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“วันหลังเอาให้มากกว่านี้หน่อยก็ได้นา..”
“บ้า!!!”
“ใกล้วาเลนไทน์แล้ว อยากกินช็อคโกแลตจังเลย…”
“หือ?” อามิษชะงักก่อนจะเหลือบตามองปฎิทิน “เออเนอะ เดี๋ยวทำช็อคโกแลตให้เอามั้ย?”
“จะกินได้เร้อ...”
“ต้องได้สิ!!!”
“อื้ม จะซื้อยาแก้ท้องเสียรอ”
“เชอะ อร่อยแน่ๆ ไม่เชื่อคอยดูก็แล้วกัน!!”
“ครับๆ พี่จะคอย"
"ต้องคอยชิมด้วย!!"
“โอเคๆ” ราคะตอบอย่างจำนนในเสียงทีดูดื้อรั้นราวเด็กเล็กๆของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆก็ใกล้วาเลนไทน์แล้ว อามิษ พี่มีความจริงจะบอกเธอ”
“เอ…ฉันก็มีนะพี่ แต่เอาไว้ถ้าฉันผ่านฤดูหนาวไปได้เมื่อไหร่ ฉันจะบอกพี่แน่ๆ”
“ฤดูหนาววันสุดท้ายก็วาเลนไทน์น่ะสิ?”
“ช่ายย เพราะฉะนั้น พี่ต้องมาให้ได้นะวาเลนไทน์น่ะ ห้ามนัดกับสาวที่ไหนนะ”
“คร้าบๆ”
“ว่าแต่ ความจริงที่ว่าน่ะอะไรงั้นเหรอ?”
“ความจริงแล้ว พี่น่ะนะ…พี่ชอ….”
“ถือสายรอสักครู่นะครับ มิษดูเหมือนจะไปล้างตัว”
เสียงปลายสายทำเอาราคะสะดุดกึก เพราะเป็นเสียงของชายหนุ่มซึ่งดูท่าว่าคงไม่ใช่ญาติโกโหติกาของอามิษแน่ๆ เจ้าตัวบ่นเสียงเบา
“อา..งั้นไม่เป็นไรครับ แค่นี้ละกัน บอกเจ้าตัวด้วยว่าแย่ชะมัด หนีไปไม่ฟังผู้ใหญ่ให้จบได้ยังไง”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ราคะกดตัดสายทันที ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก็เป็นซะอย่างนี้นี่ล่ะ..ร้ายชะมัด คุยกับเราไปทำเรื่องแบบนั้นไปงั้นเรอะ..เสียบรรยากาศจริงๆ
.
.
“อามิษ”
“หืม? ว่าไงคะ?”
“เมื่อกี้คนที่มิษคุยด้วยบอกว่าจะวางสายน่ะ แล้วก็บอกว่าไม่ฟังผู้ใหญ่ให้จบได้ยังไง”
“อ๋อ...”
ชิ...ว่าจะนัดสักหน่อยเชียว ไว้อีกสักพักค่อยโทรไปใหม่ก็ได้
“รุ่นพี่ที่โรงเรียนงั้นเหรอ?”
“อ๋อ ประมาณนั้นล่ะ”
“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วไว้เจอกันใหม่”
“อื้มๆ บ๊ายบายๆ”
เจอกันใหม่เรอะ...กินไปครั้งนึง ฉันก็ไม่อยากกินต่อแล้วเฟ้ย!คิดในใจ หากแต่ดวงหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
อามิษนอนกลิ้งเกลือกบนเตียงเล่น ก่อนจะหยิบมือถือมากดเบอร์ของอีกฝ่ายแล้วกดโทรหวังจะนัดในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับสาย เธอจึงกรอกเสียงลงไปทันที
“ฮาโหลลลล~ เฮียราคะ”
หากแต่เสียงที่กลับมากลับกลายเป็นเสียงครางของหญิงสาวและเสียงเอ่ยชื่อราคะเป็นระยะๆ ความรู้สึกหงุดหงิดปรี๊ดแล่นเข้ากลางหัวก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสายทิ้งโดนไม่สนใจเสียงเรียกของราคะในสาย
“เอาไว้นัดวันหลังก็ได้ ชิ !”
______________________________________________________________________
14 กุมภาพันธ์
วันวาเลนไทน์แล้วสินะ...
อามิษคิดในใจก่อนจะตัดชายริบบิ้นที่ยาวเกินจำเป็นออก แล้วลงมือผูกริบบิ้นสีแดงสดบนห่อช็อคโกแลต
“เท่านี้ก็เรียบร้อย!”
อ๊ะ! ยังไม่ได้นัดเลยนี่นา..ป่านนี้จะไปไหนแล้วนา..
อามิษคิดก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจิ้มๆข้อความอยู่สักพัก แล้วกดส่งออกทันทีหวังให้อีกฝ่ายอ่าน จะได้ไม่เป็นการเปลืองเวลาเท่าใดนัก
‘ฮาโหลลล ‘w’/ สวัสดีตอนเช้า
วันนี้เจอกันตอนหกโมงละกันนะ (คนน่าจะไม่เยอะมาก แฮ่ๆ~) ที่สวนสาธารณะนะ!
ฤดูหนาววันสุดท้ายตามที่ตกลงกันเอาไว้แล้วนะ ! แล้วเจอกัน ’เจ้าตัวยิ้มบางๆก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือแนบริมฝีปากเบาๆ
อ๊ะ...หวา แอบตื่นเต้นแบบแปลกๆแฮะ.
.
.
.
.
.
18.58 น.ทำไมยังไม่มาอีกนะ...
เจ้าตัวหาวเล็กน้อยก่อนจะนั่งรอ ด้วยความที่เมื่อคืนนอนดึกเกินไปหน่อยจึงส่งผลให้เจ้าตัวงัวเงียสุดๆ
อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ…สมกับเป็นวันสุดท้ายแห่งฤดูหนาว
“แค่กๆ”
เจ้าตัวไอเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองฝ่ามือขาวซีดของตนที่เปรอะเปื้อนด้วยหยดเลือด
“ฤดูหนาวนี่มันอันตรายสำหรับฉันจริงๆน้า....”
พึมพำเบาๆ ก่อนจะสะดุดกึก เมื่อรับรู้ได้ถึงของมีคมเงินปลาบที่จออยู่ริมลำคอ
“ใช่…เพราะอันตรายสำหรับท่านไง พวกข้าจึงเลือกลงมือในยามนี้....”
“!!?”
อามิษเหลือบตามองด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเห็นคู่อริเก่าในยามที่ยังคงตำแหน่งแอสโมดิวส์ยืนรวมตัวกันอยู่ด้านหลัง
“บทจะหมาก็หมาจริงๆ”
“ต่อให้เป็นหมา..ข้าก็ไม่สน ขอให้ได้แค่ฆ่าท่านซะ...ท่านอามิษ”
“ง่ายไปหน่อยไหม?”
อามิษย้อนถามขำๆ ก่อนจะใช้เล็บที่งอกยาวขึ้นเรื่อยๆตวัดปาดคอพวกปีศาจทีละตนด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาที่เธอผ่าน ราวกับสายลมพัด ปีศาจนับสิบตัวยืนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนที่ลำคอของพวกมันทั้งหมดจะมีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาตามปากแผลและล้มลงจนเหลือปีศาจอยู่แค่ตัวเดียว
“ดูถูกกันนี่หว่า ขนพวกกันมาแค่ไม่กี่คนเนี่ย”
อามิษพูดพลางหัวเราะก่อนใช้รองเท้าเหยียบหน้าปีศาจตัวที่เหลือแล้วกระทืบซ้ำๆ
“อ..อึ่ก…ท่านเป็นถึงปีศาจชั้นสูง…แต่กลับ..ทำให้ตนแปดเปื้อนด้วยการ…เกลือกกลั้วกับ..เจ้าลูกครึ่งอสรพิษชั้นต่ำนั่น...ที่มีสายเลือดมนุษย์”
ฉัวะ!!!
“อ๊ากกกก!!!”
ในพริบตาที่อามิษคว้านลูกตาข้างซ้ายของปีศาจใต้เท้าของตนออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่กระสุนจากอีกทิศทางยิงเข้ากลางหน้าผากของมัน
“อ๊ะ…เห?”
อามิษหันไปมองด้านหลังด้วยความฉงน ก่อนที่จะเปล่งเสียงในลำคอด้วยความเจ็บปวดเมื่อลูกกระสุนจากทิศทางเดียวกันยิงเข้าตรงข้อพับขาข้างขวาของเธอ
“อึ่ก!”
ท่ามกลางความมืด...ร่างในอาภรณ์สีดำค่อยๆก้าวเท้าเดินออกมาจากต้นไม้
“คุณคุ้นๆเหมือนเคยเจอกันที่ไหนนา…”
อามิษพูดก่อนที่จะใช้มือปิดปากแผลเอาไว้แน่น
ยัง...แค่นี้ทำอะไรมากไม่ได้หรอก ต้องรอ ต้องรอ..ต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้...“ลูกชายของฉัน…มันเป็นเด็กดีรึเปล่า?”
“ฮะ?”
เจ้าตัวอุทานในลำคอ พลางทำสีหน้าฉงน
“คุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
“ก็แค่..มากำจัดสิ่งที่ทำให้ตัวหมากของฉันดูไร้ค่า ก็เท่านั้นเอง..”
“ตัวหมากไร้ค่า?”
“ลูกชายของฉันเองนั่นล่ะ…เจ้าเด็กนั่น”
“…?”
“เป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ…เจ้านั่นน่ะนะ”
“น้ำเสียงของคุณมันบ่งบอกถึงความรักจริงๆให้ดิ้นตาย” อามิษตอบเนือยๆ “ขอโทษทีนะ แต่ฉันไม่รู้จักลูกชายของคุณหรอก”
“คนที่เธอกำลังปั่นหัวเล่นอยู่ไงล่ะ…”
“อันนั้นก็หลายคน ระบุมาหน่อยสิ ว่าชื่ออะไร”
“อืม…นั่นสินะ ถ้าจะพูดถึงเจ้านั่น…ต้องพูดว่าอะไรนะ….” เขาชะงักไปชั่วครู่ “คงจะเป็น..คนที่เธอรอแล้วรอเล่าแต่เขายังไม่มาล่ะมั้ง...”
“พี่ราคะ?”
“อ้อ นั่นล่ะ…”
“คุณคือ….”
“ฉันคือพ่อของเจ้าเด็กนั่น…”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ? แล้วคุณมาทำร้ายฉันทำไม?”
แม้คำพูดจะเป็นคำล้อเล่น หากแต่น้ำเสียงของอามิษกลับเย็นชาและเยือกเย็นราวกับเป็นคนละคน
“เป็นเด็กดีรึเปล่า..เจ้านั่นน่ะ”
“กวนประสาทมากเลยค่ะ ชอบแกล้งด้วย”
“งั้นเหรอ?” อีกฝ่ายหรือ ‘ไวเปอร์’ พูดอย่างแปลกใจ “น่าอิจฉานะ...”
“คุณประสาทรึเปล่า? อิจฉาที่ฉันโดนแกล้งเนี่ยนะ...”
“หมอนั่น…ไม่เคยกวนประสาทกับใครน่ะสิ”
“ปากแบบนั้นน่ะนะ?”
“ใช่…แล้วก็ไม่เคยที่จะหันหลังให้ฉันด้วย…”
“แล้วเขาหันหลังให้คุณตอนไหนมิทราบ”
“ตอนที่หันหลังไปเรียกสองฝาแฝดนั่น…แล้วอุ้มเธอออกไปไงล่ะ”
“ก็แค่หันหลังเอง คุณจะเอาอะไรนักหนา”
อามิษตอบอย่างรำคาญเล็กน้อย
“เพราะเจ้านั่น…ไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร”
“?”
“ต่อให้คู่ขาของมันกำลังจะตายต่อหน้าหรือถูกฉีกเป็นชิ้นๆ…แต่ถ้าฉันอยู่ต่อหน้ามัน มันไม่มีทางที่จะหันไปสนใจสิ่งอื่นนอกจากฉัน หรือเดินหันหลังไปง่ายๆแบบนั้น….”
“...แล้วเรื่องแค่นั้น มันทำให้คุณต้องยิงฉันเลยรึไงกัน”
“คนอย่างเธอ…ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ใช่คู่ขาของพี่ราคะด้วย เรียกให้มันดีๆหน่อยสิ เจ้านายน่ะเจ้านาย”
อามิษทำหน้าจริงจัง
“เจ้านั่น…ไม่เคยมีใครเป็นเจ้านาย ไม่เคยรับใครเป็นเจ้านาย”
“ไม่ๆๆๆ…ไม่ใช่แบบนั้น คำว่าลูกจ้างกับนายจ้างน่ะ”
“ก็ไม่เคยอีกล่ะ…หรือถ้าเคย ก็ไม่เคยที่จะให้ความสำคัญแบบนั้น”
“ถ้าฉันบอกว่าฟังแล้วรู้สึกดีใจ ฉันจะผิดมั้ย?”
“ไม่ผิด…เชิญดีใจไปให้พอ…ในฐานะวันสุดท้ายของเธอ”
“คุณจะฆ่าฉันรึไง?”
“แล้วคิดว่าฉันมาเพราะอะไรล่ะ…”
“เห็นชอบบอกว่าอะไรๆก็เป็นทางผ่าน”
“ก็ใช่…แต่วันนี้น่ะทางผ่านของจริง”
ไวเปอร์ตอบนิ่งๆก่อนจะเหลือบตามองเวลา
“เธอไร้สาระมากเลยล่ะ…น่าจะจบการพูดคุยได้แล้วนะ”
“ฉันจะดีใจมากกว่านี้ถ้าการจบการพูดคุยของคุณคือการล่าถอยไปดีๆ”
“เจ้านั่นน่ะ…มันคงยังมาไม่ถึงหรอก”
“!?”
“ตอนที่เธอส่งข้อความไป…แบตโทรศัพท์ของเจ้านั่นหมดพอดี…คิดว่าราวๆอีกไม่เกินยี่สิบนาทีคงจะมาถึง…”
“คุณนี่มันเหมือนสโต๊กเกอร์เลยนะ”
“หึ…”
“แต่แหม…อีกยี่สิบนาที เหลือเวลาอีกไม่ค่อยมากน่ะสิ ถ้าเจอง่ายๆก็คงหมดสนุกแย่…”
“หึ…” ไวเปอร์หัวเราะในลำคอ “เพราะเป็นแบบนี้เองสินะ เจ้านั่นถึงได้ติดใจหนักหนาน่ะ...”
“โอ้ ฟังแล้วภูมิใจจะผิดไหมเนี่ย?”
“เธอไร้สาระจริงๆนั่นล่ะ เอาเป็นว่าเลิกคุยกันแค่นี้ก็แล้วกัน แฮปปี้บลัดดี้วาเลนไทน์...”
ปัง!!!!!
ลูกกระสุนเงินเฉียดดวงหน้าของอามิษไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดด้วยความที่เจ้าไวพอจะเบี่ยงมันทัน
“เร็วใช้ได้…”
“ฉันยอมตายง่ายๆได้ซะที่ไหนล่ะ”
“ฉันจะกอดเธอ...สักครั้งก็แล้วกันนะ....”
“!!!!?”
เจ้าตัวที่กำลังงุนงงเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก ถูกอีกฝ่ายใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเอาไว้หากแต่มิใช่ด้วยความรัก ก่อนที่ไวเปอร์ที่กัดลำคอของเธอจนมิดเขี้ยวแล้วถอนเขี้ยวออกและถอยหลังไปอีกทาง
“อย่าได้คิดจะถอนพิษเชียวล่ะ..ไม่อย่างนั้น ฉันจะเปลี่ยนจากการตัดสินใจฆ่าเธอเป็นฆ่าเจ้านั่นทิ้งแทน”
“โอ้โห บทจะฆ่ามันก็ง่ายจริงๆนะ”
อามิษกัดฟันประชด
“ฉันเป็นคนง่ายๆน่ะ”
จบประโยค ร่างของไวเปอร์ก็ค่อยๆเลือนไปในความมืด พร้อมกับร่างของอามิษที่ล้มลงกับพื้นที่เริ่มมีหิมะปกคลุมบางส่วน
และดอกกุหลาบสีดำ...ที่ตกอยู่ข้างตัว
เสียงเพลงแห่งฤดูหนาวแว่วมาอีกครั้ง..ด้วยทำนองที่แสนจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย..หากแต่แฝงด้วยความหดหู่หม่นหมอง
‘ถ้าฉันผ่านฤดูหนาวไปได้ ฉันจะบอกความจริงกับพี่นะ’___________________________________________________________________
ที่เหลือตัดปี๊บค่ะ
___________________________________________________________________
TO BE CONTINUE ... [ตอนหน้าเป็นพาร์ทของMovivinนะคะ]
อีดิทติ๊ดๆ : ดูเหมือนจะยาวเกินไปรึเปล่า? ลงที่เดียวมันไปจบที่คำว่า 'คอ' /กร๊ากกก
ขออนุญาติเป็นแบ่งเป็นสองพาร์ทนะคะ =w=;
ขอบคุณมากที่เสียสละเวลาอ่านค่ะ มีอะไรติชมได้นะคะเพราะส่วนตัวไร้ฝีมือในการฟิค /orz'l|
ว่าแต่ ลองเดาๆกันดูเล่นๆได้นะคะว่ากี่หน้า ฮ่าๆๆ=w=;
ส่วน'แฟน'ของราคะเป็นใคร ถามคุโรนะคะ =w= แฮ่ๆ
PS..นิทานทุกเรื่องน่ะ..ไม่จำเป็นต้องจบด้วยความสุขเสมอไปหรอกนะ...
(ไม่ต้องทำมาพูดดีหรอก แกชอบแต่งฟิคเฟลก็บอกมาเถ๊อะ อย่ามาทำตัวซึนเดเร๊ะ !!!)ขอบคุณที่อ่านนะคะ >< '