[SF] SATAN* / SANTA
By:Luvless
“ซานต้าครับ...ผมอยากขอพร”
เด็กชายคนหนึ่งยืนหนาวอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นเยือกที่มาพร้อมหิมะโปรยปรายจนถนนหนทางถูกย้อมจนกลายเป็นสีขาวโพลน ผมซึ่งทำงานเป็นซานต้าจำเป็นนั้นมีหน้าที่แจกลูกอมให้กับเด็กเล็กซึ่งผ่านไปมา โปรดักษ์ขนมหวานมักต้องการตีตลาดโดยใช้เด็ก ๆ เป็นเหยื่อเสมอซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัยเลย แต่ที่ผมสงสัยก็คือเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนนี้คิดอย่างไรจึงเชื่อว่าผมเป็นซานตาครอสไปได้จริง ๆ
ผมยิ้มเอาหน้าในขณะที่ลูบท้องตัวเองไปพลาง มั่นใจว่าความอ้วนไม่ได้สิงสู่ตัวผมแน่ กลับกันนั้นฐานะของผมทำเอาบางมือแทบไม่ได้กินอะไรดี ๆ กับเขาเลยด้วยซ้ำ
“พี่ไม่ใช่ซานต้าจริง ๆ หรอกนะ แต่ถ้าเธอต้องการขนมละก็พี่มีมากมายพอจะยกให้เธอได้ทั้งถุงเลย เอาไหมล่ะ?” ผมเสนอให้อย่างใจดี กลัวทำให้เด็กเล็ก ๆ ต้องเสียอกเสียใจ “ซานต้าจริง ๆ น่ะจะมาหาทุก ๆ คนในตอนกลางคืนนะ เชื่อซี่...เดี๋ยวพอเช้าขึ้นมาของขวัญก็จะวางรอเธออยู่ใต้ต้นคริสมาสแน่นอน”
เด็กชายตรงหน้ายิ้มให้ผม แล้ววิ่งจากไปเงียบ ๆ ...ทิ้งรอยเท้าเล็ก ๆ หายลับไปในความมืดของคืนอันเต็มไปด้วยสลัวลางทว่าเต็มไปด้วยไฟกระจ้อยร่อยประดับประดา
ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะแหงนหน้ามองไปยังนาฬิกาหน้าลานน้ำพุ ผู้คนที่ผ่านไปมามีเด็กน้อยมากในช่วงค่ำอย่างนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจยุติงานพิเศษของตัวเองลงในที่สุด เตรียมตัวกลับบ้านไปอยู่กับความเงียบเหงาตามลำพัง เพราะเชื่อว่าพี่ชายคงไม่ได้กลับบ้านเป็นแน่ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่บ้างานมากที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา
แต่จะทำยังไงได้...ด้วยตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงน้องชายอย่างผมอีกตั้งคนนึง ผมไม่มีใจจะร้องขอความเอาใจใส่ที่มากเกินความจำเป็นกับพี่หรอก บางเวลาผมถึงกับสงสารเสียด้วยซ้ำเนื่องจากงานนักข่าวไม่ใช่งานที่ทำเงินได้มากมายนักในสมัยนี้
ผมเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกเหงาเล็ก ๆ ความมืดเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเพราะมันชวนให้รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวจนเกินทน ความหนาวเย็นก็เป็นเหมือนอาวุธร้าย อาจเหมือนโกหกแต่ก็เป็นความจริงที่ผมเกลียดวันคริสมาสเข้ากระดูก เพราะมันชวนให้เจ็บปวดอยู่เสมอมา
เด็ก ๆ มีของขวัญกองรออยู่ใต้ต้นไม้เมื่อลืมตาตื่น พ่อแม่ซึ่งมีอันจะกินสรรหาของดีที่สุดเพื่อเจ้าของมือน้อยแสนรัก และในนิทรารมย์แสนสุขของเด็ก ๆ ที่รอคอยของขวัญซึ่งมุ่งหวังก็มีไฟของเตาผิงคอยให้อุ่นไอปลอบประโลม
ทุกสิ่งดูแสนสุขเสียจนน่าเย้ยหยัน...โลก
ผมถอนหายใจยาวจนไอขาวพวยออกจากปาก ห้ามตัวเองไม่เคยได้เลยเมื่อถึงตอนที่คิดถึงความรู้สึกเหล่านั้น
“โจเซ่!!”
ผมหันไปมองหาต้นเสียงที่คุ้นเคย ปรากฏว่าพี่ชายยืนหอบอยู่เบื้องหลังพร้อมกระเป๋าเป้ถึงสองใบ ดวงตาของเขาสะท้อนสะท้านเสียจนผมประหลาดใจ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะชวนให้ประหลาดใจได้มากมายไปกว่าครั้งนี้อีกแล้ว
“จอร์จ พี่เป็นอะไรไปน่ะ?”
จอร์จที่แก่กว่าผมหลายปียืนจังก้าอยู่ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเขา โดยปรกติจอร์จจะเป็นคนมีสติแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนสติจะขาดอยู่รอมร่อ
“โจเซ่! เอากระเป๋านี่ไปนะ แล้วไปที่ถนนเลขที่17บ้านข้าง ๆ โบสถ์เป็นบ้านร้างของครอบครัวบราวน์ แกต้องไปหลบอยู่ที่นั่นแล้วอย่าออกมาจากบ้านเด็ดขาดเข้าใจที่พี่พูดไหม?”
จอร์จส่งกระเป๋าให้ผมในขณะที่ผมยังตามสติที่แตกซ่านของพี่ไม่ทัน
“อะไรกันน่ะ เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีเวลาแล้ว!! รับไปสิเร็ว ๆ เข้า พี่ใส่น้ำดื่มกับอาหารไว้นิดหน่อย เสื้อผ้ามีอยู่2ชุด อย่าลืมที่บอกนะอย่าออกมาจากบ้านเด็ดขาด จะก่อไฟหรือทำให้ใครรู้ก็ไม่ได้รู้ไหม!”
ผมรับข้าวของมาอย่างตกใจ จอร์จดูเหมือนไม่ได้พูดเล่น ๆ และท่าทางมันจะมีอะไรที่มากไปกว่าแค่ที่ตาเห็น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะจอร์จ! ถ้าไม่บอกกันก่อนละก็ฉันจะไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด ถ้ามีปัญหาอะไรละก็เราต้องอยู่ด้วยกันแล้วช่วยกันแก้ซิถึงจะถูก!”
ผมโวยวายอย่างหัวเสีย นี่พี่คิดว่าผมจะหนีไปคนเดียวได้เหรอเนี่ย เรามีกันอยู่แค่2คนพี่น้อง ถ้าจะให้ทิ้งกันไปโดยไม่รู้เหตุผลแบบนี้สู้อยู่เผชิญปัญหาร่วมกันเสียยังจะเข้าท่าเข้าทางซะกว่า
“แกจำเรื่องที่พี่เคยเล่าว่า เจ้านายน่ะสั่งให้พี่เลิกตามข่าวการฆาตกรรมที่ท่าเรือได้ใช่ไหม?” จอร์จเริ่มเปิดปาก เสียงสั่นดังแค่กระซิบให้ได้ยินกันสองคน ท่ามกลางความมืดที่บัดนี้บีบคั้นจิตใจจนแทบบ้า “พี่ไม่ได้หยุดหรอกนะ นั่นแหละเหตุผลที่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แล้วปรากฏว่าไปเจอเงื่อนงำเข้า”
“อะไรนะ? อย่าบอกนะว่า พี่ถูกฆาตกรตามล่าเอาน่ะ” ผมเริ่มมีความคิดที่จะพาจอร์จวิ่งไปหาตำรวจ แต่ไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกเบรคความคิดเอาไว้เสียก่อน
“มันมากกว่านั้นเยอะแยะ เอาเป็นว่าในเป้ของนายมีสมุดอยู่เล่มนึง มันมีข้อมูลอยู่ในนั้น ซ่อนตัวจนกว่าจะครบ3วันแล้วพี่จะไปหาเอง แกต้องดูแลมันอย่างดีนะ เราต้องเอาสมุดนั่นไปส่งให้โฮเซ่เพราะมีแต่คนระดับหมอนั่นเท่านั้นที่จะช่วยเราได้”
จอร์จพูดถึงเพื่อนที่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีเป็นแผนกสืบสวนกลางเรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้ผมเริ่มเดาออกว่าเค้าลางของความยุ่งยากมันมากมายขนาดไหน ท้ายสุดจึงได้แต่พยักหน้ารับปากพร้อมทบทวนสถานที่ๆต้องไปหลบอยู่ให้ได้ถึง3วัน
“ดูแลตัวเองให้ดีเข้าใจไหม? พี่พยายามทำมันเพราะถ้าไม่ทำจะมีคนเดือดร้อนอีกมากมาย แต่ถ้ามันสุดปัญญาจริง ๆ ละก็แกทำลายสมุดนั่นทิ้งแล้วหนีไปให้ไกล แล้วมีชีวิตอยู่รอดให้ได้นะ อย่าห่วงพี่รู้ไหม!”
จอร์ จทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น มันเป็นคำพูดที่สารภาพอย่างซื่อตรงไม่คิดปิดบัง และมีความห่วงใยให้ผมอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินคำพูดไหนชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจ ได้เท่านี้เลย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนพูดจาดี ๆ ไม่ค่อยเก่งแท้ ๆ แต่ความซื่อตรงนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้อยู่เสมอว่าพี่เป็นครอบครัวที่ผมมี เพียงคนเดียว...และเป็นครอบครัวที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะมีได้อย่างแท้จริง
...