| นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ | |
|
|
ผู้ตั้ง | ข้อความ |
---|
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Tue May 18, 2010 8:53 pm | |
| ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด…เสียงเป่านกหวีดของพนักงานบนสถานีรถไฟฟ้าเป็นสัญญาณให้รถไฟฟ้าซึ่งกำลังแล่นเข้าสู่สถานีเพื่อลำเลียงผู้โดยสารเตรียมจอดและเปิดประตูขบวนรถ ผู้โดยสารต่างพากันทยอยเดินออกมาอย่างเร่งร้อน ราวกับทุกนาทีนั้นมีค่ามากมายมหาศาล แม้สถานีนี้จะมิใช่สถานีสำคัญซึ่งมีคนพลุกพล่าน แต่บรรยายกาศยามดึกสงัดผนวกกับแสงไฟที่สาดส่องมาจากแผงกั้นบนฝ้าเพดานทำให้ภาพผู้คนที่เดินไปมานั้นดูมีมิติที่น่าสนใจไม่น้อย
ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด.... เสียงเป่านกหวีดดังอีกครั้งพร้อมกับการโบกมือของพนักงาน ประตูของรถไฟฟ้าค่อยๆปิดตัวลง เสียงเครื่องจักรทำงานดังกึกกักตามด้วยการเคลื่อนตัวของขบวนรถไปด้านหน้าจนหายลับไปสุดสายตาเพื่อไปยังสถานีด้านหน้า
รถไฟฟ้านี้ เรียกกันโดยทั่วไปว่า บีทีเอส เป็นระบบขนส่งมวลชนแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่คับคั่งอย่างมากในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจในประเทศ จึงได้มีการเปิดระบบเศรษฐกิจและการค้าอย่างเสรีให้สามารถนำเข้ารถจากเมืองนอกมาใช้ภายในประเทศได้ ซึ่งแต่เดิมการนำเข้ารถยนต์ใหม่จากต่างประเทศนั้นจะต้องเสียภาษีนำเข้าสูงกว่ามูลค่ารถหลายเท่าตัว ในช่วงก่อนที่จะเปิดทำการ รถไฟฟ้านี้ชื่อว่า ‘รถไฟฟ้าธนายง’ ซึ่งมาจากชื่อของบริษัทธนายงที่ได้รับสัมปทานการสร้างและจัดการเดินรถ
แต่ละสถานีจะแบ่งรูปแบบออกเป็นสองชั้น สถานีชั้นล่างจัดตั้งเป็นตู้ขายตั๋วอัตโนมัติซึ่งใช้ระบบหยอดเหรียญขายบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บนตู้จะมีปุ่มมากมายให้ผู้ซื้อเลือกสถานีปลายทางที่ต้องการ เมื่อกดยืนยันสถานีและหยอดเหรียญตามปริมาณที่ระบบกำหนดแล้วก็จะได้รับบัตรเพื่อใช้สำหรับผ่านประตูไปยังสถานีชั้นบน ทั้งนี้ในบางสถานียังมีร้านหนังสือพิมพ์ ร้านอาหาร ขนม เพื่อบริการและให้ความสะดวกสำหรับการเดินทางในชั่วโมงที่เร่งรีบ
สถานีชั้นบนโดยปรกติจะแบ่งออกเป็นพื้นที่รอรถไฟฟ้าสองฟากฝั่ง คั่นกลางด้วยรางรถไฟฟ้าขนาดใหญ่สองรางอยู่ตรงกลาง ระบบการวิ่งของรถไฟฟ้านั้นวิ่งสวนกันเป็นสองขบวนจึงได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฟาก เพื่อสะดวกต่อการเดินทางของผู้โดยสาร แต่ใน ‘สถานีสยาม’ ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมและแยกเส้นทางการวิ่งไปอีกหลายสถานี โดยให้พื้นที่รอรถอยู่ตรงกลางและให้รางรถอยู่ฟากละด้านแทน พนักงานรถไฟฟ้ามองดูขบวนรถไฟฟ้าที่เคลื่อนไปไกลจนหายลับไปกับมุมตึก พลางยกข้อมือเพื่อมองดูนาฬิกา ซึ่งขณะนี้เป็นเวลา 21.30 แล้ว พลันหันกลับไปสำรวจบริเวณพื้นที่รอรถ
ในเวลานี้บนสถานีลอยฟ้า ผู้คนที่ทยอยออกมาเมื่อครู่ต่างลงไปยังสถานีชั้นล่างเกือบหมด เหลือเพียงเด็กคนหนึ่งยืนอยู่กลางสถานีเพียงผู้เดียว เขาตัดผมทรงสกินเฮด สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวบนปกเสื้อปักตัวอักษรสีดำ ใส่กางเกงขาสั้นสีดำ ยืนสะพายกระเป๋าเป้สีดำ แสดงสถานะว่าเด็กคนนี้เป็นนักเรียน สภาพการแต่งตัวชายเสื้อหลุดออกมานอกกางเกง ใส่ร้องเท้าเหยียบส้น ตรงเอวห้อยสายแสตนเลส ติดด้วยเครื่องประดับแวววับเหมือนที่วัยรุ่นทั่วไปใส่ เมื่ออยู่ในสภาพนักเรียนจึงแลดูไม่เรียบร้อย คาดว่าเขากำลังรอใครบางคนอยู่
รถไฟฟ้าขบวนทยอยผ่านไปขบวนแล้วขบวนเล่า ผู้คนเดินขวักไขว่ทางเข้าและออกจากขบวนหลายสิบครั้ง พนักงานรถไฟฟ้าเหลียวมองดูนาฬิกาซึ่งห้อยติดอยู่บนผนังด้านบนสถานี ตัวเขานั้นมีนาฬิกาข้อมืออยู่แล้วแต่กลับมองนาฬิกาบนผนังสถานีแทนเนื่องจากเป็นทิศทางเดียวกับที่เด็กชายคนนั้นยืนอยู่
เด็กชายนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม....
ถ้านับผู้คนบนสถานีชั้นบนในเวลานี้ มีเพียงพนักงานรถไฟฟ้าฝั่งละหนึ่งคน รวมกับนักเรียนชายคนนี้เป็นสามคน
ขณะนี้เป็นเวลา 21.56 แล้ว.... | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Wed May 19, 2010 4:12 am | |
| “น้องชาย อีกไม่กี่นาทีสถานีรถไฟฟ้าจะปิดทำการแล้วนะ รถไฟฟ้าขบวนหน้าคงจะเป็นขบวนสุดท้าย ถ้าน้องไม่รีบขึ้นอาจจะตกรถได้นะ” พนักงานรถไฟฟ้าเดินเข้าไปบอกกับนักเรียนชายคนนั้น
“ครับ ผมก็จะขึ้นขบวนหน้านี้แหละครับ” นักเรียนชายกล่าวเบาๆโดยไม่ได้มองตอบกลับมายังพนักงานรถไฟฟ้า แววตามองทอดออกไปยังสถานีฝั่งตรงข้ามอย่างเลื่อนลอยคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
พนักงานรถไฟฟ้าผงกศีรษะตอบรับพร้อมกับกล่าวยืนยันเพื่อความแน่ใจ “คันหน้าแน่นะ”
“ครับ” นักเรียนชายตอบเบาๆอีกครั้ง พนักงานรถไฟฟ้ารู้สึกได้ว่าแววตาของเขามีประกายใส คล้ายกับมีน้ำตาเอ่อคลออยู่บ้าง ขณะที่จะถามเพิ่มเติมรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายซึ่งวิ่งมาจากสถานีอ่อนนุชกำลังแล่นเข้าสู่ชานชาลาจึงหันกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด! หลังจากเสียงนกหวีดครั้งสุดท้ายของวันสิ้นเสียงไป เมื่อเหลียวกลับไปอีกครั้ง นักเรียนชายคนนั้นพลันหายไปจากชานชาลาแล้ว
นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับตัวของเขาที่พบเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้ และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในวันถัดมา นักเรียนชายคนนั้นก็กลับมายืน ณ เวลาเดิม จุดเดิม ยืนเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย อากัปกิริยาไม่ผิดแผกแตกต่างจากเมื่อวานที่เขาพบเห็นแต่อย่างไร และเขาจะจากไปในรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายเวลาสี่ทุ่มตรงเช่นเดิมทุกทุกวัน พนักงานรถไฟฟ้าคาดเดาว่านักเรียนชายคนนี้คงมีความในใจอะไรบางอย่าง
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า รถไฟเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า นับแต่วันแรกที่นักเรียนชายคนนี้มายืนอยู่จวบจนขณะนี้ก็เป็นเวลาหกวันแล้ว เขาเคยลองพยายามปรึกษากับพนักงานรถไฟฟ้าหลายๆคนเพื่อขอความเห็นเผื่อว่าอาจจะช่วยเหลือเด็กชายคนนี้ได้ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ต่างแนะนำว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น” ในขณะที่เสียงส่วนน้อยซึ่งตัวเขาเองค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำแนะนำว่า “ลองคุยกับเขาดูสิ”
วันนี้เป็นวันศุกร์ หลังจากที่เลิกงานไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือคนวัยทำงานต่างหาเวลาผ่อนคลายในยามเย็นเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์จึงสามารถออกตระเวรไปได้เต็มที่ วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็มักเดินทางเข้าไปในสยามสถานที่ที่มีแหล่งบันเทิงและแหล่งสำหรับจับจ่ายใช้สอยมากมาย ทำให้สถานีนี้ซึ่งปกติในวันปกติมักจะไม่มีคนมากนัก ในเวลานี้ชานชาลาฝั่งขวาซึ่งเป็นขาออกไปยังสะพานกรุงธน กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนแน่นชานชาลาเพื่อรอรถไฟฟ้าขบวนสุดท้าย ในขณะที่ชานชาลาฝั่งซ้ายซึ่งเป็นขาเข้าไปยังใจกลางกรุงกลับมีผู้คนยืนอยู่ไม่มากนัก
พนักงานรถไฟฟ้าอาศัยเวลาขณะที่รถไฟฟ้ายังไม่มาถึง พยายามมองหานักเรียนหนุ่มท่ามกลางฝูงคนจำนวนมาก ตัวของเขาเองสูงเพียง 160 เซนติเมตร จึงต้องเขย่งเท้าขึ้น ทางหนึ่งก็คอยเหลือบมองรถไฟฟ้า จนในที่สุดเขาก็เห็นนักเรียนหนุ่มคนนั้นยืนพิงติดกับเสาต้นหนึ่งกำลังมองทีวีแอลซีดีซึ่งติดอยู่บนผนังสถานีด้านบน ในทีวีกำลังโฆษณาภาพยนตร์เรื่องใหม่ชื่อ ‘ เหมันต์และคิมหันต์ ‘ซึ่งกำลังจะเข้าฉายในขณะนี้
พนักงานรถไฟฟ้าค่อยเดินเลาะตรงเส้นเหลืองซึ่งทาตรงขอบชานชาลาเพื่อเป็นเส้นเขตบ่งชี้มิให้คนก้าวล้ำออกมาเป็นการป้องกันการพลัดตกลงไปในรางรถไฟซึ่งปล่อยไฟฟ้าแรงสูง ขณะที่กำลังจะเดินฝ่าเข้าไปในฝูงชน สายตาของเขากลับรั้งไปที่ชานชาลาฝั่งตรงข้าม
ชานชาลาฝั่งตรงข้ามมีผู้คนยืนอยู่ไม่มากนัก ขอบชานชาลายืนไว้ด้วยพนักงานรถไฟฟ้าอีกคนหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมงานของเขาทำหน้าที่คอยเป่านกหวีดให้สัญญาณเช่นกัน ด้านหลังของเพื่อนร่วมงานยืนไว้ด้วยบุคคลสองคน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมมีฮู๊ดสีดำคลุมปิดบังใบหน้า ใส่กางเกงขาบานสีเทายาวปิดไปถึงเท้า รูปร่างสมส่วนไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป อีกคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง ทั้งตัวสวมคลุมด้วยชุดวันพีชพื้นดำปักลายหมากรุกแบบหลวมกว้างจนถึงหัวเข่า เผยให้เห็นกางเกงยีนส์ฟอกขาวอยู่อีกชั้น ศีรษะสวมหมวกสีขาวใบหนึ่ง นับว่าการแต่งตัวของทั้งสองกลมกลืนกับแวดล้อม สามารถปกปิดรูปลักษณ์และลักษณะของตนเองได้อย่างแนบเนียนหากไม่สังเกตย่อมมองเลยผ่านไป แต่เมื่อพวกเขามายืนอยู่บนชานชาลาอีกฝั่งซึ่งมีผู้คนไม่มากนักกลับดูเด่นสะดุดสายตา
พนักงานรถไฟฟ้ายืนมองคนทั้งสองอย่างลี้ลับอยู่ครู่ใหญ่จนลืมไปว่าตนเองจะต้องเดินเข้าไปหานักเรียนชายคนนั้น แต่กว่าจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไร รถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายซึ่งกำลังแล่นเข้ามาทั้งสายเข้าเมืองและสายออกจากเมืองก็ปรากฏอยู่ในสายตาแล้ว จึงลอบทอดถอนใจที่พลาดโอกาสไป
ทันใดนั้นในกลุ่มชนกลับปรากฏคนสี่คนพุ่งปราดออกมาล้ำเส้นพื้นสีเหลืองจนถึงสุดขอบชานชาลา
“ของอยู่ที่ไหน!!!” เสียงชายหนึ่งตวาดก้องมาจากหนึ่งในสี่คนนั้น คล้ายกับกำลังถามหาอะไรบางอย่างเรียกความสนใจทุกผู้คนที่ยืนอยู่บนชาลามิใช่น้อย แต่ก็ไม่ทราบว่าเขากำลังถามใคร
“อย่าคิดว่าพวกเรามองไม่ออก!! ถ้าวันนี้แกไม่มอบของออกมา จะไม่ได้ตายดีแน่” เสียงผู้ชายอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นสนับสนุนตามมา เมื่อพนักงานรถไฟฟ้ามองไปก็พบว่าเสียงแรกนั้นมาจากชายศีรษะกึ่งล้านรูปร่างเตี้ยผู้หนึ่ง เสียงที่สองเป็นชายวัยรุ่นสวมหมวกแค๊ปรูปร่างสันทัดในมือสะพายซองผ้าขนาดใหญ่คล้ายบรรจุเครื่องดนตรี ส่วนด้านข้างยืนไว้ด้วยชายรูปร่างสูงกำยำราวนักกล้ามผู้หนึ่ง กับชายหนุ่มไว้ผมตั้งปล่อยจอร์นยาวอีกคนหนึ่ง ทั้งหมดสวมชุดรูปแบบเดียวกัน คือเป็นชุดคลุมสีขาวยาวจรดพื้น
พนักงานรถไฟฟ้าเริ่มเป่านกหวีดเป็นการให้สัญญาณรถไฟฟ้าในการเข้าเทียบชานชาลาและชี้นิ้วมือไปยังชายทั้งสี่ เขาคิดว่าเมื่อรถไฟฟ้าเทียบท่าแล้วบุคคลกลุ่มนั้นยังอาละวาดอยู่ คงจะต้องเข้าไปคุยด้วยเพื่อสอบถามปัญหา
รถไฟฟ้าทั้งสองซึ่งมาจากคนละทิศคนละทางค่อยๆลดความเร็วลงเลียบเข้าสู่ชานชาลา
“จะหนีไปไหน!!” ชายศีรษะกึ่งล้านตวาดก้องอีกครั้งพลันก้าวพรวดออกไปตรงลางรถไฟ สร้างความตื่นตระหนกแก่คนทั้งหมดบนชานชาลาจนร้องโพล่งออกมา กลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงซึ่งอยู่ใกล้จุดนั้นมากที่สุดถึงกับส่งเสียง ‘กรี๊ด’ นั่นเพราะนอกจากหากตกไปแล้วยังต้องพบกับไฟฟ้าแรงสูงจากรางแล้ว รถไฟที่เคลื่อนเข้ามาก็ยังมิได้ลดความเร็วลงสามารถจนชายผู้นี้เสียชีวิตได้ ชายอีกสามคนพลันก้าวตามชายศีรษะล้านไปยังล้านรถไฟเช่นกัน!!
ทุกคนต่างกรูกันเข้ามา บ้างก็ส่งเสียงร้องห้าม แม้แต่พนักงานรถไฟฟ้าก็ลืมว่าตนเองต้องเป่านกหวีดให้สัญญาณ รีบวิ่งเข้ามาตรงปลายชานชาลาเช่นกัน
แต่มันสายเกินไปแล้ว….!!
รถไฟฟ้าจอดเข้าสู่ชานชาลาอย่างปกติ ในขณะที่ผู้คนมากมายไม่ว่าบนชานชาลาหรือภายในรถไฟฟ้าเองต่างก็ชะโงกหน้าออกมาดูอย่างประหลาดใจ ชายทั้งสี่คนอันตรธานหายไปแล้ว
“เขาโดนรถไฟชนไปแล้วหรือ!?” เสียงกลุ่มคนตะโกน “ไม่นี่ ทำไมฉันไม่เห็นได้ยินเสียงถูกชนเลยล่ะ” อีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้น “ผ...ผี!!” คนบนชานชาลาเริ่มปั่นป่วนวุ่นวายเป็นการใหญ่ ด้วยอารมณ์ฉงนสงสัย ปนตื่นตระหนก บางคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะถ่ายคลิปวีดีโอเก็บไว้แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ มีเพียงพนักงานรถไฟฟ้าที่ยังยืนนิ่งอยู่เพียงผู้เดียว
ใบหน้าของเขาขาวซีด เหงื่อเริ่มผุดผาดทั้งใบหน้าและทั่วลำตัว ดวงตาของเขาแทบทะลักออกจากเบ้า
“คนพวกนั้นยังไม่ตาย! แต่เขาอยู่ที่ชานชาลาฝั่งตรงข้าม!!” นี่เป็นคำที่เขาคิดจะพูดออกมา แต่มันกลับจุกอยู่ในปากไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ขาของเขาเริ่มสั่น เบื้องหน้าเต็มไปด้วยรถไฟฟ้าสองสายซึ่งจอดตัดกันอยู่ทำให้ไม่สามารถเห็นชานชาลาอีกฝั่งได้
ภาพสุดท้ายก่อนที่รถไฟฟ้าจะเทียบท่าเพียงเสียววินาทีผุดขึ้นในหัวสมองของเขา ภาพชายทั้งสี่คล้ายกับหายตัวไปโผล่ยังชานชาลาฝั่งตรงข้าม ด้วยความลี้ลับถึงที่สุด...
พวกเขาทำได้อย่างไร!? พวกเขาเป็นภูตผีวิญญาณร้าย!? พวกเขาเป็นพ่อมดหมอผีหรือ!?
ยังไม่ทันที่จะได้คิดสืบต่อภาพเบื้องหน้าปลายชานชาลาในฝั่งที่เขายืนอยู่นี้ก็ทำให้เขายืนตะลึงเป็นคำรบสอง
บุคคลสองคนซึ่งเมื่อครู่ยืนอยู่ชานชาลาฝั่งตรงข้ามกลับมายืนอยู่ ณ ชานชาลาฝั่งนี้แล้ว!! | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Wed May 19, 2010 8:38 pm | |
| นักเรียนชายสะดุ้งตัวขึ้น เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้กำลังจ้องมองรายการโฆษณาทีวีอยู่จากนั้นห้วงแห่งการรำลึกทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความทอดอาลัย ร่างที่ยืนเหม่อมองถูกผลักจนเซล้มลงตามมาด้วยเสียงผู้คนกรีดร้องอื้ออึงไปทั่วบริเวณปลุกให้เขาตื่นตัวขึ้น ประตูรถไฟฟ้าเปิดค้างไว้รอให้ผู้โดยสารก้าวเดินเข้าไป ในขณะที่ภาพที่เขาเห็นคือคนมากมายต่างเบียดเสียดแย่งกันลงไปยังสถานีรถไฟชั้นล่างคล้ายกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง
“อ้าว มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมถึงไม่มีใครเข้าไปในรถไฟฟ้า” เขาครุ่นคิด ขยี้ตาด้วยความมึนงงในท่าที่ตัวเองกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนหงายอยู่ พลางค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น
เบื้องหน้าของเขายืนไว้ด้วยบุคคลสองคน หนึ่งคือคนสวมฮู๊ดสีดำ อีกหนึ่งคือคนสวมวันพีชลายหมากรุก ห่างออกไปยังคงยืนด้วยพนักงานรถไฟฟ้าคนหนึ่งใบหน้าขาวซีด ส่วนบุคคลอื่นๆนั้นล้วนทยอยหนีลงไปด้านล่างจนหมดสิ้น
นักเรียนชายรู้สึกในมือกำของบางสิ่งบางอย่าง เมื่อแบมือออกมากลับเป็นพวงกุญแจห้อยตุ๊กตาแมวตัวเล็กอยู่สองพวง ตัวหนึ่งสีขาวตัวหนึ่งสีดำซึ่งเมื่อมันรวมอยู่ในฝ่ามือของเขาจึงมีลักษณะหันหน้าชนกันมองดูเผินๆคล้ายกำลังหยอกเย้ากันอยู่ นักเรียนชายอดรู้สึกหดหู่เมื่อพบเห็นที่แท้แล้วตนถือพวงกุญแจไว้เนินนานตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่จำไม่ได้แล้ว
คนสวมชุดวันพีชลายหมากรุกหันหลังกลับมา แม้จะสวมหมวกสีขาวปกปิดใบหน้าไว้แต่ยังเห็นประกายตาสอดส่องออกมาเผอิญพบเห็นนักเรียนชายกำลังลุกขึ้นยืนถึงกับสะดุ้งเฮือกหนึ่งอุทานเบาๆว่า
“นาย...!?ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่....” เสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเสียงของผู้หญิง
“หมายถึงผมน่ะเหรอ…” นักเรียนชายชี้นิ้วมือไปที่หน้าตนเองอย่างงุนงง ไม่แน่ใจว่าผู้หญิงชุดวันพีช กล่าวกับตนเองหรือไม่ แต่บริเวณนั้นไม่เหลือใครอีกคาดว่าคงเป็นตนเอง แต่ตนไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้แม้แต่น้อย
ยังไม่ทันหายสงสัย ผู้หญิงชุดวันพีชกลับพุ่งตัวเข้ามาหาเขาพร้อมกับตะโกน
“หมอบลง!”
นักเรียนชายและผู้หญิงชุดวันพีซพากันกลิ้งตัวลงไปกับพื้นชานชาลาอย่างทุลักทุเล ขณะที่จะร่ำร้องด้วยความโมโหออกมากลับได้ยินเสียงหวืดวือของของแข็งกระทบกันดังขึ้นหลายครั้ง พลันเห็นประตูของรถไฟฟ้าซึ่งจอดอยู่ตรงชานชาลาระเบิดออกเป็นรูใหญ่ประมาณหนึ่งกำมือหลายสิบรูคล้ายกับโดนกระสุนหรืออะไรบางอย่างเจาะทะลวงอย่างรุนแรงจนบังเกิดเสียงดัง “กึง!” เมื่อเหลือบมองไปยังผนังของชานชาลาก็พบรูพรุนลักษณะเดียวกันกับประตูรถไฟฟ้า ซึ่งรัศมีของรูนั้นอยู่ในบริเวณที่เขายืนอยู่เมื่อครู่
นักเรียนชายถึงกับหน้าแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อ คล้ายมีคำพูดจะกล่าวแต่กลับจุกอยู่ในลำคอ ร่างกายสั่นสะท้าน พลันได้กลิ่นหอมลอยมากระทบจมูก ที่แท้ตนเองกำลังกอดผู้หญิงชุดวันพีซอยู่บนพื้น ในลักษณะตนเองนอนหงายอยู่ ร่างกายแนบชิดติดกันมือขวาตนโอบกอดแผ่นหลังมือซ้ายโอบสะโพกช่วงล่างของหญิงนั้น ใบหน้าห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ เมื่อครู่ตนเองเกิดความตื่นตระหนกเผลอขยับมือซึ่งโอบกอดสะโพกหลายครั้ง รู้สึกวาบหวิวในใจ
ผู้หญิงชุดวันพีชถูกนักเรียนชายลวนลาม ไม่ได้ส่งเสียงขุ่นเคืองแต่อย่างใด พลันฉุดนักเรียนชายลุกขึ้นภายใต้หมวกสีขาวซึ่งคลุมปกปิดใบหน้าช่วงบนเผยให้เห็นรอยยิ้มวูบหนึ่ง ตบเข้าที่แก้มซ้ายของนักเรียนชายอย่างแรง ร่างนักเรียนชายถึงกับลงไปกองกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง
นักเรียกชายรู้สึกตราลายพร่าใบหน้าปวดแสบปวดร้อน ศีรษะมึนงงแทบสลบไป ขณะกำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นสายตาขณะแหงนดูพบเห็นบุคคลสองคนยืนอยู่บนหลังคารถไฟฟ้า
“วรรษ อย่าเพิ่งทำร้ายพวกมัน หากพวกมันตายไปพวกเราจะไม่มีวันได้ ‘ของ’ คืนมา “ เสียงจากชายรูปร่างสูงกำยำราวนักกล้ามพูดกับชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลังคาห่างออกไป
“เฮอะ พี่เทียระจะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ถ้ามันยังไม่ยอมมอบของที่ขโมยไปคืนมา ก็ต้องใช้กำลังบังคับกันแล้ว” ชายวัยรุ่นสวมหมวกแค๊ป นามวรรษ กล่าวตอบ ในมือถือของแวววาวชนิดหนึ่ง เมื่อมองให้ชัดเจนกลับเป็นอาวุธมีคม จ่อปลายอาวุธมาทางคนสวมฮู๊ดสีดำซึ่งยืนอยู่บนพื้นชานชาลา
คนสวมฮู๊ดสีดำส่ายศีรษะพลันกางแขนออกเผยมือทั้งสองข้าง กล่าวว่า
“เราขอรับรองด้วยสองมือที่มีว่า เราไม่ได้ขโมยประแจเทวสัตตาของพวกพี่ๆ ทั้งหมดเป็นความสัตย์จริง” น้ำเสียงแฝงแววคลุมเครือทำให้ไม่ทราบว่าเขาเป็นชายหรือหญิง ทั้งยังใช้คำนามตนเองว่า ‘เรา’ ฟังดูประหลาดพิกล เสียงชายศีรษะกึ่งล้านร้องโพล่งขึ้น
“คิดว่าพวกเราจะหลงเชื่อคำพูดคนอย่างแกงั้นหรือ เพียงฉายา ‘โจรพันหน้า’ ก็เป็นประกันได้แล้วว่าคำพูดของแกเชื่อถือไม่ได้เลยสักครึ่งคำ” ขณะกล่าวร่างพลันปรากฏตัว ณ ชานชาลาฝั่งเดียวกับคนทั้งหมด เงาเคลื่อนไหวดุจภูตผีเข้าหาคนสวมฮู๊ดสีดำ
คนสวมฮู๊ดสีดำผงะถอยหลังเป็นการหลบเลี่ยงครั้งหนึ่ง ร่างถอยห่างจากจุดเดิมเป็นระยะสามสี่เมตร พลางแบมือออกมาอีกครั้งเผยให้เห็นกระเป๋าสีดำอยู่ในมือใบหนึ่ง กล่าวว่า
“แม้ว่าเราจะยอมอ่อนข้อให้พวกพี่ๆ แต่หากจะลอบทำร้ายเรา เกรงว่าไม่ง่ายดายนัก”
ชายศีรษะล้านหน้าตาแดงก่ำโดยความโกรธา ตวาดว่า
“กล้าดียังไงถึงล้วงกระเป๋าสตางค์ของข้าไป! “ ปากกล่าว แต่ในใจกลับตื่นตระหนกว่าด้วยระยะห่างเพียงนั้น การจู่โจมในสถานการณ์เช่นนั้น คนสวมฮู๊ดฉายาโจรพันหน้าสามารถหยิบช่วยกระเป๋าของเขาไปได้อย่างไรกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
โจรพันหน้าส่งเสียงหัวเราะ ปล่อยกระเป๋าทิ้งลงอยู่เท้าเบื้องหน้า กล่าวว่า
“หากพี่สรภู ยอมปล่อยพวกเราสองคนไปนอกจากเราจะคลื่นกระเป๋าใบนี้ให้ วันนั้นจะจดจำเป็นบุญคุณไว้”
นักเรียนชายซึ่งตอนนี้นั่งดูสถานการณ์อยู่ตลอดเวลากลับมึนงงสงสัย พลันนึกได้ถึงเรื่องประการหนึ่งถึงกับต้องหัวร่ออกมา “นี่คนพวกนี้กำลังทำอะไรกัน ใช่พวกเขากำลังถ่ายหนังอยู่รึเปล่านะ” เขาครุ่นคิด สายตาสอดส่องหากล้องจับภาพ หากเหตุการณ์นี้เป็นการถ่ายภาพยนตร์จริงๆคาดว่าตนเองย่อมต้องมีบทบาทในละครเรื่องนี้อยู่มิใช่น้อย แต่สอดส่องไปมากลับไม่พบสิ่งใดเมื่อหันไปดูสภาพรถไฟฟ้าที่พรุนราวโดนถูกกระสุนเจาะไปรูใหญ่หลายสิบรูถึงกับขนลุกชี้ชัน หรือว่านี่ไม่ใช่หนังแต่เป็นเรื่องจริง!? | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Thu May 20, 2010 12:26 am | |
| ผู้หญิงเสื้อวันพีชยังคงยืนนิ่งตั้งท่าคอยจับตาดูสถานการณ์รอบข้าง
ชายศีรษะล้านนามสรภูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้นขณะจะกล่าวต่อ เสียงของชายอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“จอมโจรพันหน้าย่อมมีชื่อเลื่องลือ พวกเราสี่คนหากรวมพลังกันจัดการจับหรือฆ่าท่านยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ แต่หากพวกเรารวมกันจัดการคนอื่น ณ ที่นี้ คิดว่าคงไม่ยากเย็นเท่าไหร่” สิ้นเสียงกล่าวตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ทุกคนต่างหันไปในทางเดียวกัน
ผู้กล่าวเมื่อครู่เป็นชายหนุ่มผมตั้งไว้จอร์นยาว ในมือของเขาบีบคอทางด้านหลังของพนักงานรถไฟฟ้า ร่างถูกมือขวาของชายวัยฉกรรจ์ผมตั้งไว้จอร์นยาวยกลอยขึ้น ขาทั้งสองข้างสะบัดดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดส่งเสียงในลำคอดังอู้อี้ว่า “ช่วยด้วย”
สรภูหน้าตาตื่นตระหนกรีบกล่าวว่า “พี่ไวกูณฐ์ ที่นี้อยู่ในเขตของพวกนั้น...หากพวกเราฆ่าคนในที่นี้...กลัวว่า....กลัวว่าจะมีปัญหาตามมา”
ชายฉกรรจ์นามไวกูณฑ์หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย กล่าวว่า “พวกเรากับพวกมันไม่ลงรอยกันมานานแล้ว จะช้าหรือเร็วก็ต้องแตกหักกันอยู่ดี ยังไงเมื่อมีโอกาสก็ฆ่าให้สะใจดีกว่า” กล่าวจบพลางเหลือบมองนักเรียนชายซึ่งยืนถือกระเป๋าหลบอยู่ตรงมุมชานชาลาแวบหนึ่ง
นักเรียนชายสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ สิ่งที่เขาพูดมาตั้งแต่ประแจอะไรนั่น จนถึง 'พวกนั้น' เขากลับฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาเข้าใจและกำลังจะเกิด ณ ตอนนี้ คือเขากำลังจะถูกฆ่า
โจรพันหน้าสอดส่ายสายตาสำรวจสถานการณ์รอบหนึ่ง เบื้องหน้าของเขามีรถไฟฟ้าซึ่งจอดคาไว้บดบังทัศนะเบื้องหน้า บนหลังคารถไฟฟ้ายืนไว้ด้วยวรรษผู้ถืออาวุธยาวและเทียระที่ยืนห่างออกไปอีกชั่วตัว ด้านขวาสุดทางชานชลายืนด้วยสรภูจ้องท่าคุมเชิง ด้านซ้ายยืนด้วยไวกูณฑ์ซึ่งจับพนักงานรถไฟฟ้าไว้พร้อมที่จะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ ด้านหลังยืนไว้ด้วยหญิงเสื้อวันพีชซึ่งมาด้วยกัน และอีกหนึ่งเป็นนักเรียนชายที่หลบอยู่ตรงมุมเสา
โจรพันหน้าพลันยกมือไพร่หลังหัวร่อเบาๆพลางกล่าว “หากปฏิเสธต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ก็ได้....เราขอยอมรับว่าคนที่ขโมยประแจเทวสัตตาจากหัวหน้าของพวกท่านไปก็คือเราเอง!!”
สรภูร้องโพล่งว่า “ในที่สุดก็เผยหางออกมาแล้ว รีบมอบคืนพวกเรามาซะดีๆ”
วรรษกุมอาวุธในมือไว้แน่น ทุกคนขยับตัวตั้งท่าสื่อเป็นสัญญาณว่าเมื่อมีใครเริ่มลงมือ ก็พร้อมจะร่วมมือกันโจมตีทุกเมื่อ
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ในขณะที่โจรพันหน้าที่ยืนไพร่หลังอย่างสงบคล้ายไม่หวั่นกลัวต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด มีเพียงหญิงเสื้อวันพีชที่ยืนผงกศีรษะและส่ายหน้าสลับไปมาติดต่อกัน
“เขาทำอะไรน่ะ” นักเรียนชายครุ่นคิดอย่างสงสัยเมื่อเห็นมือที่ไพร่หลังทั้งสองมือของโจรพันหน้าขยับไปมาตลอดเวลาคล้ายกับกำลังส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเห็น เพียงแต่คนทั้งสี่ซึ่งห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้าและด้านข้างกลับไม่ได้สังเกตเห็น
โจรพันหน้าพลันล้วงมือเข้าไปในเสื้อ ยกชูถุงผ้าสีน้ำตาลขนาดอุ้งฝ่ามือใบหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ กล่าวว่า
“ของอยู่ที่นี่แล้ว”
วรรษชูอาวุธชี้ไปทางโจรพันหน้าพลางร่ำร้องว่า “จงโยนมาให้ข้า” ส่วนสรภูกับเทียระคล้ายเริ่มขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมช่วงชิง มีเพียงไวกูณฐ์ที่ยังคงจับพนักงานรถไฟฟ้าไว้ไม่ยอมปล่อย สายตาจ้องมองที่ถุงผ้าไม่วางตา
รอยยิ้มภายใต้หมวกฮู๊ดของโจรพันหน้าพลันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
“ถ้าอยากได้ก็มาเอาไปเอง!!” กล่าวจบ กลับเขวี้ยงถุงผ้าไปยังเบื้องหน้าข้ามผ่านวรรษและเทียระที่คอยดักอยู่บนหลังคาไป
ทุกคนร้องโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ถุงผ้าถูกขว้างมาด้วยความเร็วอย่างถึงที่สุด หากไม่รีบคว้าจับไว้อาจเลยสถานีชั้นบนร่วงลงไปยังท้องถนนด้านล่างได้
วรรษและเทียระรีบหันขวับ สองเท้ากระโดดลอยละลิ่วตามถุงผ้านั้นไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรถไฟฟ้ากับนักเรียนชายอุทานเบาๆออกมาพร้อมๆกันกับภาพที่เห็น เมื่อทั้งสองคนที่กระโดดลอยตามถุงผ้านั้นคล้ายกับลอยละลิ่วอยู่บนอากาศไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นแต่ประการใด
“คนพวกนี้มีเวทย์มนต์ มิน่าล่ะถึงเหาะเหินบนอากาศได้!?” นักเรียนชายครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
พลันเห็นสรภูตวาดก้องพุ่งตัวเข้าหาโจรพันหน้าอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองข้างแผ่พุ่งสภาวะดังหวืดวือ ในขณะที่ไวกูณฐ์เหวี่ยงร่างพนักงานรถไฟฟ้าลอยมาทางโจรพันหน้า พลันพุ่งร่างตามมาดุจสายฟ้า
โจรพันหน้าถอยหลังมาหนึ่งช่วงตัวพลันหันมาตวาดหญิงเสื้อวันพีชด้วยเสียงอันดัง
“เราให้สัญญาณแล้ว ทำไมถึงยังไม่หนีไป!!”
หญิงเสื้อวันพีชส่งเสียงสั่นเครือตอบกลับว่า
“หนูทิ้งอาจารย์ไปไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”
โจรพันหน้ากลับทอดถอนใจอย่างเสียดายพลันจับข้อแขนของหญิงเสื้อวันพีชไว้ จับเหวี่ยงร่างของนางจนลอยละลิ่วออกจากสถานีรถไฟฟ้าทางด้านหลัง
“อาจารย์!!!” หญิงเสื้อวันพีชตะโกนก้องเสียงขาดหายเล็กน้อย ร่างของตัวเองร่วงลงยังหลังคาตึกซึ่งอยู่หลังสถานีรถไฟฟ้าซึ่งระยะทางห่างกันหลายสิบเมตร
“รีบไป!! อย่าเป็นตัวถ่วง แล้วเราจะตามไปหาเอง” โจรพันหน้าตวาดก้องถลันเข้าไปรับร่างของพนักงานรถไฟฟ้าที่ถูกเหวี่ยงมาโดยไม่เหลียวกลับไปอีก
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจแต่นักเรียนชายรู้สึกถึงความเร็วที่น่าตระหนกยิ่ง นั่นเพราะเขาพึ่งจะสูดลมหายใจเข้าปอดไปเพียงแค่ 2 ครั้ง....
โจรพันหน้าหมุนฝ่ามือเหวี่ยงร่างของพนักงานรถไฟฟ้ากลิ้งมาทางด้านหลังจนเกือบจนกับขาของนักเรียนชาย พลันพลิกตัวตีลังกาตลบหนึ่งไปทางขวาแหวกเข้าไปในกระแสพลังลมที่สรภูสร้างขึ้น จนเกิดเสียง “บึม!” ดังขึ้น เมื่อกระแสลมขาดห้วงไปกลับพลิกตัวอีกครั้งหนึ่งไปทางด้านซ้ายรับกระแสพลังของไวกูณฐ์ซึ่งแผ่พุ่งเข้ามา
นักเรียนชายมองเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยอาการตะลึงลาน เขากลับดูไม่เข้าใจว่าคนทั้งสามกำลังทำอะไรอยู่นอกเสียจากหมุนตัวไปทางซ้ายทีขวาทีและเกิดเสียงดังมาเป็นกระแส ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงดังซู่ๆบนพื้นจึงต้องหันไปมองด้วยความตกใจ
พื้นกระเบื้องบนลานสถานีรอบๆตัวเขากลับเบ่งพองขึ้นคล้ายกับฟองอากาศผุดขณะน้ำเดือด มิเพียงมีฟองเดียวแต่ปรากฏอีกหลายสิบฟองใหญ่เล็กจนถึงขั้นนับไม่ถ้วน!!
สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกว่ามันพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ!!
นักเรียนชายเห็นภาพที่โจรพันหน้าพุ่งตัวเอื้อมมือมาทางเขาพลางตะโกน “ระวัง...!!”
แสงสีขาวบ้างเกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตา เสียงหวีดสูงบังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น…
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด หรือสั้นกระชั้นเพียงไหน
“นี่ นี่” เสียงเรียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ข้างๆหู คล้ายดังจากสถานที่อันแสนไกล บางครั้งก็คล้ายใกล้จนได้ยินกระจ่างชัด
ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
“นี่! นายจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น พร้อมกับแฝงอารมณ์บูดบึ้งแง่งอนเล็กน้อย
“อ่า นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย” นักเรียนชายส่งเสียงครวญในลำคอเบาๆ พลันพบว่ามีมือข้างหนึ่งยื่นส่งอะไรบางอย่างมาให้
“อ่ะนี่...ไอศครีม ถือว่าเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์มาซื้อของเป็นเพื่อนแล้วกันนะ”
นักเรียนชายพบว่าตัวเขากำลังถือไอศกรีมรถสตรอเบอร์รี่นั่งอยู่ในม้านั่งใต้ซุ้มไม้แห่งหนึ่ง ตนเองมิได้ใส่ชุดนักเรียนแต่อย่างใด แต่ใส่เป็นเสื้อยืดสีขาวมีลวดลายกับกางเกงขาเดฟสีดำตัวหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาอย่างร้อนแรงรอบๆเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินแออัดจอแจ มีแผงร้านมากมายตั้งเรียงรายสุดที่สายตาจะมองได้ครบ บางร้านขายเสื้อผ้ากางเกงมากมาย บางร้านมีคนแต่งตัวใส่ชุดคาวบอยมาขายเครื่องประดับแปลกหูแปลกตา ด้านข้างของเขามีผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกันใส่ชุดแซกสีเหลืองอ่อน กางเกงยีนส์ขาสั้น กำลังนั่งเลียไอศกรีมรสวานิลลาอยู่ ดวงตาของเธอทอประกายสดใสกำลังจับจ้องมองมาทางเขา
“นี่...จ้องมองอะไรกัน ไม่รีบกินเดี๋ยวไอศครีมก็ละลายกันพอดี” หญิงสาวกล่าว
นักเรียนชายจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา ผิวของเธอสีขาวนวล ปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง
เขารู้จักผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนี้ก็รู้จักเขาเช่นกัน
นักเรียนชายมีคำพูดหลายร้อยหลายพันคำคิดจะกล่าวออกมาให้หญิงสาวผู้นี้ฟัง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับหันไปมองผู้คนที่เดินอยู่ตามท้องถนน พลันกล่าวว่า
“ถึงยังไม่ได้กิน แต่แค่ถูกจ้องมองมันก็ละลายมาตั้งนานแล้วล่ะ”
หญิงสาวส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆใบหน้ากลับแดงซ่าน หลบหน้ามองไปยังท้องถนนเช่นกัน
ทั้งสองกลับไม่กล่าวอะไรอีกเพียงนั่งกินไอศครีมจนหมด นักเรียนชายรู้สึกว่าอยากจะให้บรรยากาศนี้คงอยู่ตลอดไป “นี่...” หญิงสาวกล่าวเบาๆโดยไม่ได้หันหน้ามา
นักเรียนชายค่อยๆหันหน้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังเหม่อมองท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย
“มีอะไรเหรอ?...” เขาถาม
“นายน่ะ...ชื่ออะไรเหรอ...?”
แก้ไขล่าสุดโดย ultimatewp เมื่อ Thu May 20, 2010 8:18 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Thu May 20, 2010 6:20 am | |
| นักเรียนชายสะดุ้งเฮือกขึ้นอีกครั้งภาพร้านรวงที่ขายเสื้อมากหน้าหลายตา บรรยากาศตลาดร้อนและหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอันตรธานหายไปทั้งหมด ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นอย่างเลือนรางกลับเป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง
ตัวเขาถูกโอบอุ้มไว้ด้วยคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังถามคำถามว่า
“น้องชาย เจ้าชื่ออะไร...”
ใบหน้าของคนผู้นั้นกลับเป็นผู้ชายคนหนึ่ง จมูกของเขาโด่งเป็นสัน ขนคิ้วขึ้นหนาแต่ลักษณะสีอ่อนจาง ลักษณะที่เด่นชัดที่สุดคือรอยแผลเป็นที่พาดผ่านจากหน้าผากข้างซ้ายยาวผ่านเปลืองตาของมาจนเกือบถึงริมฝีปากซ้าย แววตาของเขาทอแววห่วงใยกังวล ริมฝีปากของเขาปรากฏเลือดไหลซึมออกมา
นักเรียนชายรู้สึกตนเองไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าวตอบ อีกทั้งใบหน้ายังมีอาการร้อนลวกลาวถูกมดจำนวนมากกัดอยู่ตลอดเวลา แต่เห็นชัดเจนว่าชายผู้นี้ปล่อยฮู๊ดสีดำเผยให้เห็นใบหน้าตนเองคาดว่าคนผู้นี้คงจะเป็นโจรพันหน้า
โจรพันหน้าถอดถอนใจรำพึงว่า
“ครั้งกระโน้น เราก็ได้พบเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ครั้งหนึ่ง แต่ยังนึกไม่ถึงว่าจะมีดวงชะตาที่ได้พบกันในลักษณะนี้อีกครั้ง”
นักเรียนชายรู้สึกว่าชายผู้นี้โอบอุ้มตนเองลอยลงมายังเบื้องล่างอีกชั้นหนึ่ง ร่างถูกวางลงกับพื้น
“หาก....ร้าน....ข้าง....หนังสือจุฬา” เสียงโจรพันหน้ากล่าว เพียงแต่นักเรียนชายรู้สึกว่าสติของตนเองเริ่มเลอะเลือนอีกครั้งจึงฟังได้ยินเพียงบางคำไม่ปะติดปะต่อนัก
ทันใดนั้น นักเรียนชายพลันรู้สึกที่ศีรษะตนเองคล้ายถูกเข็มเย็นยะเยือกเล่มหนึ่งทิ่มแทงเข้ามาจนทะลุเข้ามาในหัว ที่ท้องคล้ายถูกเข็มร้อนดั่งไฟลวกทิ่มแทงเข้ามาทะลุลำไส้ลงไป เรี่ยวแรงที่ไม่มีแต่จะเคลื่อนไหวกลับดิ้นทุรนทุรายอย่างปวดร้าว ส่งเสียงคำรามก้องอย่างในชีวิตไม่เคยส่งออกมาก่อน สิ้นสติไป
ไม่ทราบว่าผ่านไปอีกเนิ่นนานเท่าใด นักเรียนชายจึงค่อยๆได้สติอีกครั้ง
เขารู้สึกได้ว่าร่างของเขาถูกจัดวางอยู่บนเตียงเตียงหนึ่ง ใบหน้าและลำตัวคล้ายมีอะไรบางอย่างพันมากมายจนแทบจะหายใจไม่ออก ที่ปากมีพลาสติกบางอย่างครอบไว้คาดว่าเป็นเครื่องช่วยหายใจ ด้านข้างมีเสียงอะไรบางอย่างดังเป็นจังหวะสลับไปมา แม้ว่าเขาจะมิได้ลืมตาตื่นขึ้นยังได้ยินเสียงผู้คนกำลังสนทนากันอยู่ที่ปลายขาของเขา
“ลูกชายของคุณถูกไฟคลอกจากอุบัติเหตุ พวกเราได้ทำการช่วยเหลือจนพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่เมื่อฟื้นขึ้นมาอาจจะต้องทำใจเรื่องผิวหนังและใบหน้าอยู่บ้าง…” เสียงของชายคนหนึ่งกล่าว ฟังดูน่าจะเป็นคุณหมอ
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมา เขาจำเสียงนี้ว่าเป็นแม่ของเขาเอง โดยมีเสียงชายมีอายุอีกคนหนึ่งดังอยู่ด้านข้างเป็นเชิงปลอบโยนว่า “แม่ อย่าร้องไห้ไปเลย ถ้ามีโอกาสเราจะพาไปศัลยกรรม” นั่นเป็นเสียงของพ่อ
นักเรียนชายเมื่อฟังจากที่คุณหมอกล่าวพลันรู้สึกใจหายวูบอยู่บ้าง หากเป็นอย่างที่หมอกล่าวจริงตนเองคงจะเสียโฉมติดตัวไปตลอดชีวิต อีกทั้งได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่ซึ่งถ่ายทอดความรักที่มีต่อตัวเขาออกมาเนื่องจากไม่อาจขยับตัวได้จึงได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ พลันเคลิ้มหลับไป
เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น ในครั้งนี้ตาของเขาเบิกโพล่งขึ้นมองเห็นเพดานสีขาวซึ่งมีหลอดไฟดวงหนึ่งติดอยู่ เมื่อครู่นี้จำได้ว่าในความฝันได้พบเจอกับเด็กผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เขานั่งทานไอศกรีมด้วยในตลาดแห่งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้พบว่าเธอมาหาเขาเพียงลำพังแต่กลับจำไม่ได้ว่าเธอพูดอะไร ใบหน้าของเธอยังอยู่ในความทรงจำและเขาก็มั่นใจว่าจะไม่มีวันลืมเลือนเธอ...
นั่นเพราะเธอเป็นรักครั้งแรกของเขา
และเป็นรักแรกที่ทำให้เขาเจ็บปวด...
นักเรียนชายพบว่าตนเองลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เรี่ยวแรงฟื้นขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมโดยที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด บรรยากาศในห้องมืดครึ้มบ่งถึงเวลายามวิกาลแล้ว เมื่อสังเกตรอบห้องพบว่าในห้องมีเตียงของเขาเพียงเตียงเดียวคาดว่าคงเป็นห้องพิเศษ ด้านตรงข้ามเตียงมีโซฟาเรียงติดกันอยู่สองตัว พร้อมกับชั้นวางของมีหนังสือวางแนบอยู่หลายเล่ม ด้านขวาเป็นหน้าต่างบานยาวปกคลุมด้วยผ้าม่านชั้นหนึ่งซึ่งตอนนี้รูดไม่สนิทดีนักเผยให้เห็นบรรยากาศภายนอกมองทอดออกไปไกลเป็นตึกมากมาย เขายังเห็นเห็นท้องถนนที่ห่างออกไปเต็มไปด้วยประกายแต้มดวงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งไปมา
เขามองดวงไฟที่เคลื่อนย้ายไปมาอยู่พักใหญ่ ในใจกลับครุ่นคิด “ดวงไฟพวกนั้นเคลื่อนไปเคลื่อนคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อใดเราจึงจะได้เห็นดวงไฟพวกนั้นหยุดวิ่ง...?” ในใจรู้สึกทอดอาลัยอย่างแปลกประหลาด พลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นที่ตนมีความคิดแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน และเข้าก็ไม่เข้าใจว่าความคิดเมื่อครู่นี้หมายถึงอะไร คิดไปคิดมารู้สึกปวดหัวจึงต้องยกมือซ้ายกุมไว้
เขาพบว่ามือซ้ายถูกเจาะสายน้ำเกลือบริเวณใบหน้าและลำตัวมีผ้าก๊อดมากมายพันอยู่ เมื่อรวมกับหน้ากากช่วยหายใจที่สวมเข้าบริเวณปากยิ่งรู้สึกอึดอัด จึงถอดถอดหน้ากากช่วยหายใจออก ในมือค่อยๆแกะผ้าบริเวณใบหน้าออกเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
เมื่อแกะผ้าที่คลุมศีรษะออกจนหมด เขาก็ต้องลอบประหลาดใจ พบว่าเส้นผมของเขายาวลงมาจนถึงกลางหลัง เมื่อครู่ผ้าที่พันรอบศีรษะคงจะรัดผมนี้จนแน่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง พลางครุ่นคิด
“เราไว้ผมสกินเฮดไม่ใช่รึไง ทำไมผมถึงยาวขนาดนี้...หรือว่าเราสลบไปหลายเดือนจนมีสภาพนี้”
ในขณะที่ยังสงสัยอยู่ก็พบว่าตนเองปวดท้องเบาอยากเข้าห้องน้ำ เมื่อตรวจสอบว่าตนเองมีพลังกายสมบูรณ์คล้ายไม่ได้เจ็บป่วยแต่อย่างใดจึงค่อยๆก้าวขาลงจากเตียง ในมือซ้ายจับเสาน้ำเกลือถือลากไปพร้อมกัน พลันได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก
นางพยาบาลคนหนึ่งรูปร่างท้วมล่ำก้าวเข้ามาในความมืด ใบหน้าและหว่างคิ้วของเธอมีรอยย่นเล็กน้อยด้วยสภาพอายุ มือของเธอขยับไปเปิดสวิตช์ไฟอย่างเคยชินเป็นกิจวัตร เมื่อดวงไฟส่องสว่างจึงก้าวเดินเข้ามาเมื่อเห็นเบื้องหน้าเป็นคนๆหนึ่งยืนถือเสาน้ำเกลืออยู่ตรงปลายเตียงจึงหยุดชะงักลง
คนทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน
“หนูมาทำอะไรที่ห้องนี้จ๊ะ...ตอนนี้คนไข้ต้องไปนอนพักผ่อน มาเดินยามวิกาลแบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ” นางพยาบาลถามแบบยิ้ม
“ผม...มาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอครับ…” นักเรียนชายเอียงศีรษะตอบ สงสัยว่าทำไมจึงถูกถามเช่นนั้น ก็เขานอนอยู่ที่ห้องนี้มาตั้งแต่แรกมิใช่หรือ
คิ้วของนางพยาบาลขมวดเข้าหากันคล้ายกึ่งบึ้งกึ่งสงสัย ทวนคำ “ผม” และ “ครับ” ครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง “หนู นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่นกันนะ หนูพักอยู่ห้องไหนรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ป้าจะตามคนมาพาหนูกลับไป อย่ารบกวนคนไข้ห้อง....นี้...” เมื่อเหลือบแลไปยังเตียงพบว่าเตียงว่างเปล่าไร้ผู้คนถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ พุ่งพรวดเปิดประตูออกไปพร้อมกับร่ำร้องว่า
“แย่แล้ว! คนไข้ห้อง 706 หายตัวไป!”
นักเรียนชายรีบวิ่งตามออกไปเพียงพร้อมกับพูดว่า “คนไข้น่ะก็ผมไง!! ผมอยู่นี่ ผมไม่ได้หนีไปไหนนะ!”
แต่ช้าไปแล้วเมื่อตัวของนางพยาบาลหายลับไปกับทางเดิน ทิ้งไว้เพียงเสียงรองเท้าที่ยังกระทบพื้นดังตึงๆ
“ป้าคนนั้นเป็นบ้าไปแล้วรึไงกันนะ” นักเรียนชายสบถถ้อยคำหยาบคายออกมาครู่หนึ่ง ขณะจะหันกลับเข้าไปในห้อง เห็นที่หน้ามีป้ายชื่อติดอยู่
พลัฏฐ์ คันธภราฑร
ชื่อนั้นย่อมเป็นชื่อของเขาเอง
พลัฏฐ์เปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เขาก้าวเดินจนเข้าไปยังห้องน้ำซึ่งเป็นห้องเล็กๆอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งภายในห้อง ขณะจะเปิดฝาโถขึ้นพลันหันกลับไปยังกระจกบนอ่างล่างหน้าทางซ้ายมือ
เขาพบเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมของยาวสยายอย่างสวยงาม ดวงตาและวงพักตร์บนใบหน้าดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ใบหน้าของเธอขาวซีดอยู่บ้าง นั่นมิใช่ใครอื่นแต่เป็นใบหน้าที่เขาพบเห็นในฝันหลายครั้ง เธอเป็นคนเดียวกันกับหญิงที่เขาฝันและคิดถึง!!
เขาพบว่าใบหน้าของเธอในกระจกกำลังตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด เขาขยับปาก เธอในกระจกก็ขยับปากเช่นกัน เขาค่อยๆลูบไล้มือไปยังเส้นผมยาวของตนเอง เธอในกระจกก็ลูบไล้ผมของตนเอง พลัฏฐ์พลันได้คิดยืนมือซ้ายออกไปทาบแนบกับกระจก เธอในกระจกก็ยืนมืออกมาประสานกับฝ่ามือของเขาด้วยขนาดนี้พอดีกันอย่างเหลือเชื่อ
นั่นมิต้องสงสัยอีกต่อไป
เพราะเธอในกระจกก็คือตัวของเขาในตอนนี้!!
แล้วชายหนุ่มที่ไว้ผมสกินเฮดซึ่งเป็นตัวของเขาเองตอนนี้หายไปอยู่ที่ใดกัน!?
“อ๊ากกก-ก!!!”
พลัฎฐ์รู้สึกปวดหัวจนศีรษะคล้ายจะระเบิดขึ้นปากส่งเสียงตวาดก้องครั้งหนึ่ง พลันล้มฟุบลงไปกับพื้นห้องน้ำ | |
|
| |
Lavypoo
Registered : 04/10/2008 Posts : 2390
สถานะ : ปั่นงาน ... Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Tue May 25, 2010 8:44 pm | |
| ชายอีกสามคนพลันก้าวตามชายศีรษะล้านไปยังล้านรถไฟเช่นกัน!! << สะดุด =A=!! (แอบฮาเล็กน้อย)
เขียนได้น่าสนใจ และสนุกมากเลยค่ะ ! คำบรรยายก็สามารถทำได้เห็นภาพชัดเจนดีด้วย อ่านแล้วรู้สึกลุ้นตามไปด้วยเลย แต่ตัวมันเล็กปวดตา =_=;;
ขอค้างไว้ถึงเรป 2 ก่อนนะคะ ไว้จะมาอ่านเพิ่ม | |
|
| |
Zacerus
Registered : 04/10/2008 Posts : 79
สถานะ : สสาร Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Wed May 26, 2010 9:00 pm | |
| เล่นแง่กันตลอดเลยแฮะ
เนื้อเรื่ออัดมาเต็มเอียด
อั้นกันมานานนน | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Sun May 30, 2010 6:09 am | |
| เปรี้ยง!!
เสียงฟ้าร้องสะท้านสะเทือนเดือดดาลดังขึ้น ท่ามกลางสายฝนโปรยลงมาประปราย แรงลมกรรโฉกแรงปะทะจนทำให้บานหน้าต่างสั่นไหวดังกึกกัก ผ่านไปครู่ใหญ่เม็ดฝนจำนวนละเอียดเล็ก ค่อยขยายขนาดใหญ่ขึ้นค่อยๆพุ่งทิ่มแทงแผ่นบานกระจกพร้อมกับสลายตัวกลายเป็นสายน้ำรินไหลร่วงหล่นเลียบกับแผ่นหน้าต่าง
วันนี้ฝนตกหนักเป็นพิเศษ
พลัฎฐ์รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เสียงเม็ดฝนที่กระทบกับหน้าต่างคล้ายมีคนจำนวนมากกำลังเอานิ้วเคาะบานหน้าต่างดังก๊อกแก๊กปลุกให้เขาตื่นขึ้นเพียงแต่ด้วยความมึนงงอยู่บ้างจึงยังไม่ได้ลืมตา เขาจดจ่ออยู่กับ ‘เสียงเคาะ’ นี้พักใหญ่....
เขาจำได้ว่าตั้งแต่เป็นเด็กมาเมื่อได้ยินเสียงฝนตกกระทบกับหน้าต่างจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แม้ขณะที่กำลังนั่งเรียนในห้อง ไม่ใช่เพราะตัวเขาตั้งใจเรียนแต่แอบอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่...หากมีเสียงฝนกระหน่ำรุนแรงเหมือนในเวลานี้จะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากๆ
แต่การฟังเสียงฝนครั้งนี้กลับต่างออกไป เขารู้สึกว่าจิตใจมีความสงบนิ่งการได้ฟังเสียงฝนอย่างตั้งใจในครั้งนี้กลับมีความสุขอย่างแปลกประหลาด
เขาพบว่าในขณะที่หลับตาอยู่นั้นเบื้องหน้าของสายตาซึ่งมืดมิดนั้นกลับมีแสงไฟเรืองรองขึ้นเป็นดวงเล็กๆอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นี่มันคืออะไรกัน” พลัฏฐ์ครุ่นคิดขึ้น ยิ่งฟังเสียงฝนตก ยิ่งเนิ่นนาน ดวงไฟสีขาวนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆจนตัวของเขาเกิดความหวาดกลัวต่อแสงนี้ สะดุ้งเฮือกหนึ่งลืมตาขึ้น
ฝนหยุดตกไปแล้ว เขาพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องผู้ป่วยห้องเดิม เบื้องหน้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังจับจ้องมองดูเขา ส่วนใหญ่ใส่ชุดคลุมยาวสีขาวบ่งสภาพว่าพวกเขาเป็นแพทย์ มีทั้งแพทย์ชายและแพทย์หญิงสิบกว่าคนทุกคนจ้องมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวกัน ข้างเตียงทางขวามือของเขายืนด้วยแพทย์วัยกลางคนลักษณะเหมือนอาจารย์คนหนึ่งถัดมาเป็นคู่หญิงและชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง
“แม่ครับ พ่อครับ” พลัฏฐ์เปล่งเสียงออกมาเบาๆ
หญิงวัยกลางคนเมื่อได้ยินเสียงเรียกถึงกับร้องไห้ออกมาพร้อมกับโน้มตัวไปในเตียงสวมกอดลูกชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ แม่ลูกกอดกันต่างคนต่างร่ำร้องออกมาไม่ทราบว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่
ผู้ชายวัยกลางคนหันกลับไปถามแพทย์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “คุณหมอ แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่!? เมื่อวานนี้คุณยังบอกอยู่เลยว่าลูกผม....ลูกผมถูกไฟคลอกผิวหนังทั้งตัวถูกทำลายจนเสียโฉมแล้วไม่ใช่เหรอ!?”
พลัฏฐ์สะดุ้งเฮือกหนึ่ง เขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนตื่นมาครั้งแรกก็ได้ยินคุณหมอพูดเช่นนี้ แต่เมื่อคืนตื่นมาอีกครั้งก็ไม่ได้พบว่าร่างกายผิวหนังหลุดลอกหรือเน่าเละจึงไม่ได้ใส่ใจ เมื่อคิดไปคิดมาสุดท้ายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขาส่องกระจกในห้องน้ำก็ผุดขึ้นมา
“แม่ครับ! น...หน้า...หน้าของผม...” พลัฎฐ์ผงะจากการสวมกอดของแม่ยกมือกุมใบหน้าของตัวเอง ลูบคลำบีบเค้นไปมาอย่างแรงด้วยความตื่นตระหนก
“ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันครับคุณกิติวัชญ์ ว่าแผลของลูกชายคุณหายเป็นปลิดทิ้งภายในวันเดียวได้อย่างไร เรื่องนี้ทางการแพทย์ก็ไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน คงต้องเรียกว่า ‘ปาฏิหาริย์’ แล้วล่ะครับ” แพทย์วัยกลางคนซึ่งเป็นหัวหน้าแพทย์กล่าวพลางจับจ้องมองมาที่เด็กหนุ่มบนเตียงอย่างเหลือเชื่อ
พลัฎฐ์ยังคงส่งเสียงร้องอย่างโหยหวยพึมพำ “ใบหน้า” ไม่ขาดปาก จนแม่ของเขาต้องกอดปลอบอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าลูกชายตัวเองคงจะคิดมากในเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอกลูก หน้าของลูก ตัวของลูกไม่ได้เป็นอะไรเลย” แม่ของเขากล่าวปลอบโยนอีกครั้งหนึ่ง พลัฏฐ์รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก การที่ทุกคนต่างจ้องมองเขาด้วยความตะลึงเช่นนี้คงจะได้เห็นใบหน้าของเขาซึ่งเป็น ‘ผู้หญิง’ แน่แท้แล้ว น้ำตาค่อยๆหลั่งไหลออกมา
หัวหน้าแพทย์พลันส่งเสียงกระแอมไอครั้งหนึ่ง “ถ้าอย่างไรผมขอเชิญคุณกิติวัชญ์กับคุณวาทิตาไปคุยกันที่ห้องโน้นสักครู่หนึ่งครับ”
ผู้คนทั้งหลายต่างทยอยเดินกันออกไป วาทิตาซึ่งเป็นแม่กอดลูกชายอีกครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวแม่มานะ” กล่าวจบพลางเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงตัวของเขาและพยาบาลอีกคนหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นป้าพยาบาลซึ่งร่ำร้องหาเขาเมื่อคืนนี้นั่นเอง
ทั้งสองสบสายตากัน ป้าพยาบาลแย้มยิ้มออกมาพลางกล่าว
“เมื่อคืนนึกว่าหนูหายไปไหน ป้าล่ะตกใจจริงๆ ที่แท้ก็ไปอยู่ในห้องน้ำนี่เอง”
พลัฏฐ์แววตาเลื่อนลอยใจยังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ กล่าวเพียง “ครับ” คำหนึ่ง
ป้าพยาบาลถอดถอนใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกพลางดุ “คราวหลังถ้าอยากจะเข้าห้องน้ำต้องกดปุ่มเรียกพยาบาลสิ ไม่จำเป็นต้องลุกเดินไปเองหรอก รู้ไหมถ้าหนูสลบล้มลงไป แล้วมีคนมาพบช้ากว่านี้ล่ะก็จะไม่มีโอกาสได้เจอพ่อกับแม่อีกนะ!”
พลัฏฐ์พลันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง เมื่อครู่เขาลูบคลำบนศีรษะพบว่าเส้นผมของเขาไม่ได้ยาวถึงกลางหลังเหมือนที่พบเจอเมื่อคืนแต่อย่างใด อดสงสัยใจไม่ได้พลันพลิกตัวลงจากเตียง
คุณป้าพยาบาลส่งเสียงร้องห้ามด้วยความตกใจกับการกระทำดังกล่าว เนื่องจากคนป่วยที่ประสบอุบัติเหตุหนัก การเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความหุนหันเช่นนี้อาจทำให้ภายในร่างกายได้รับความกระทบกระเทือนได้
พลัฏฐ์ยืนแขนเท้าสะเอวหมุนคอ บิดเอียงตัว จากนั้นพลางกระโดดอยู่กับที่หลายครา ลักษณะคล้ายออกกำลังกายแอโรบิค พบว่าพละกำลังของตนเองเต็มเปี่ยมไม่มีส่วนไหนของร่างกายเจ็บป่วย พลันกล่าวด้วยความสงสัย
“ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ....”
ป้าพยาบาลจ้องมองเด็กชายเบื้องหน้าด้วยความสงสัยใจ ความจริงแล้วตั้งแต่ที่เธอดูแลเด็กชายคนนี้ ได้สังเกตอาการสีหน้าสดใส ขอบตาไม่ได้ดำคล้ำแฝงแววอิดโรย ริมฝีปากมีน้ำหล่อเลี้ยงมิได้ซีดขาวและท่าทาง จากประสบการณ์ของเธอที่ทำงานมาหลายสิบปีก็รู้สึกว่าเด็กชายคนนี้ไม่ใช่คนป่วย
พลัฏฐ์ค่อยๆเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่มุมห้อง มือซ้ายถือเสาสายน้ำเกลือเดินตามติดมา เขาไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำเพราะปวดท้องเบา แต่เขาอยากจะเข้ามาเพราะที่นี่มีกระจกอยู่บานหนึ่ง
เขาอยากจะเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกอีกครั้ง...
เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ ในใจคิดไปต่างๆนาๆ เมื่อคืนนั้น แวบแรกที่ได้เห็นใบหน้าของตนเองกลายเป็นหน้าของ ‘เธอ’ คนนั้น คนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาคือความรู้สึกดีใจ แต่เมื่อพบว่าใบหน้าของ ‘เธอ’ กลับเป็นใบหน้าของตนไปถึงกับเกิดความกลัวกับเรื่องพิลึกนี้
“พลอย...ทำไมหน้าของเราถึงกลายเป็นหน้าเธอไปได้ล่ะ” พลัฎฐ์พึมพำอีกครั้งมือยังทาบค้างอยู่กับบานประตูห้องน้ำ พยายามยืนทำใจก่อนที่จะเข้าไปพบกับใบหน้าของตนเองในกระจกอีกครั้ง
หญิงที่เขาคิดถึงมานานแสนนานมีชื่อเล่นเรียกว่า ‘พลอย’
พลัฏฐ์สูดลมหายใจลึกๆอีกครั้งหนึ่งครุ่นคิดในใจ “เอาวะเป็นไงเป็นกัน!” พลางผลักประตูเข้าไปจนบานประตูกระแทกกับผนังดัง ปัง! ก้าวขาออกไปจากนั้นหันหน้าไปทางขวาเพื่อเผชิญกับกระจกใบนั้น
พลัฏฐ์จ้องมองภาพที่สะท้อนออกมาในกระจกถึงกับสะท้านออกมาอีกครั้ง ดวงตาถลึงจนแทบจะถลนออกมา
“โอ้~วโว้ว!!!” พลัฏฐ์โห่ร้องออกมาอย่างสุดเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องขณะที่เห็นภาพในกระจก ป้าพยาบาลซึ่งได้ยินเสียงดังกล่าวต้องรีบวิ่งเข้ามา ภาพที่เธอเห็นกลับเป็นเด็กหนุ่มกำลังยืนจ้องกระจกตาไม่กระพริบ
คนในกระจกนั้นดวงตากำลังเบิกโต ปลายคิ้วซึ่งชี้ชันคล้ายเป็นแฉกเล็กๆอันเป็น ใบหน้าที่ดูเข้มเมื่อหลอมรวมกับผมทรงสกินเฮดซึ่งมีจอร์นยาวขึ้นเข็มทั้งสองข้าง มองดูแล้วกลับเป็นคนที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง
“หนู!! เป็นอะไรรึเปล่า!?” นางพยาบาลร้องโพล่งออกมา
พลัฏฐ์พลันยืนมาไปสัมผัสกับขอบกระจกทั้งสองข้างในมือสั่นระริก ปากกล่าวตะกุกตะกัก
“ใบ...ใบหน้านี้...มัน....ใบหน้า...ใบหน้าของผม!!” พลันหัวเราะร่าออกมาเหมือนคนบ้า ใบหน้าในกระจกยังคงเป็นใบหน้าผู้ชายที่คุ้นเคย เขาเห็นใบหน้าของตนเองนี้เกือบทุก นั่นเพราะนี่คือใบหน้าของเขา!
“หรือว่าเมื่อคืนเราจะคิดมากจนฝันไป…” พลัฏฐ์ยืนครุ่นคิด ขณะที่เขากำลังจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ประตูห้องก็เปิดอีกครั้งตามด้วยวาทิตาซึ่งเดินเข้ามาเพียงลำพัง
“แล้วพ่อล่ะครับ?” พลัฏฐ์ถาม
“กำลังจ่ายค่ารักษาพยาบาลน่ะจ๊ะ...” วาทิตายืนมองดูลูกชายซึ่งสวมชุดผู้ป่วยสีเขียวด้วยสีน้ำยิ้มแย้มวาทิตายิ้มอีกครั้งหนึ่งพลางกล่าว
“คุณหมอให้ลูกกลับบ้านได้แล้ว” | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Mon May 31, 2010 6:06 am | |
| ปัจจุบันนี้พื้นที่ในเขตตัวเมืองใหญ่ๆโดยเฉพาะเมืองหลวงย่อมมีความสำคัญต่อศักยภาพการทำงานของประเทศ กรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะมิได้มีอาณาเขตกว้างใหญ่เท่ากับจังหวัดอื่นบางจังหวัดแต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่อย่างแน่นขนัด จากสถิติที่ได้วิเคราะห์ไม่นานนี้พบว่าขณะนี้มีประชากรอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯเกือบหกล้านคน นั่นเพราะผู้คนจากต่างจังหวัดพากันเดินทางมาเพื่อหางานทำ ผู้ที่มุ่งหวังความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการงาน อาชีพ และการศึกษาต่างอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ หากจะเปรียบเป็นเมืองสวรรค์ชั้นฟ้าพราพรั่งด้วยความศิวิไลซ์คงจะไม่ผิดจากที่เห็นนัก
สถานที่อยู่อาศัยของประชากรภายในกรุงเทพฯ ผู้คนส่วนใหญ่จะอาศัยในอพาทเมนท์หรือหอพักกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยพื้นที่ของกรุงเทพฯมีจำกัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงมีราคาสูงมากดังเช่นพื้นที่ของเขตสีลม เยาวราชและสุขุมวิท การจับจ้องมองหาบ้านเพียงหนึ่งหลังภายในตัวเมืองจึงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้ผู้คนซึ่งมีฐานะปานกลางมีกำลังทรัพย์พอที่จะปลูกสร้างบ้านตนเองจึงเลือกบ้านในจังหวัดซึ่งเป็นเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ เช่น จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรปราการ
ครอบครัวของพลัฏฐ์พักอาศัยอยู่แถวชานเมืองกรุงเทพฯเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วเนื่องจากราคาของพื้นที่ไม่สูงมากนัก กิติวัชญ์พ่อของเขาจึงซื้อที่ดินรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณหนึ่งร้อยตารางวาปลูกสร้างบ้านพร้อมกับสวนขนาดย่อม ก้าวแรกที่เดินเข้าประตูรั้วหากหันไปทางขวาจะพบเห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่ถัดมาเป็นบ่อปลาขนาดกว้างพอประมาณเห็นมีปลาแหวกว่ายไปมา หันไปทางด้านหน้าจะเห็นบ้านหลังคาสีครีมเข้มทาตัวอาคารสีครีมอ่อนอยู่ไกลตาซึ่งบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในส่วนขวาบนของที่ดิน หันไปทางด้านซ้ายจะพบเห็นต้นมะม่วงขนาดใหญ่ซึ่งปลูกสร้างมาเป็นเวลาหลายปีแล้วบนต้นมีลูกมะม่วงสีเขียวขึ้นประปราย ข้างต้นต้นมะม่วงมีทางเดินสายหนึ่งพอให้รถวิ่งผ่านไปได้รอบข้างประดับด้วยไม้พุ่มเตี้ยสำหรับเดินผ่านเข้าไปยังลานวงกลมซึ่งบล๊อคไว้กันพื้นที่ทางซ้ายของที่ดินซึ่งจัดทำโรงจอดรถ สวนไม้ ซุ้มไม้เลื้อยไม้แขวน ถัดออกไปยังมีศาลาทำบ่อน้ำไว้สำหรับเป็นแหล่งบันเทิงใจและไม่ให้รู้สึกอึดอัดเกินไป
พลัฏฐ์เมื่อก้าวเดินผ่านเข้าไปในรั้วบ้านโดยปรกติจะไม่ค่อยได้เดินผ่านเข้าไปยังสวนทางด้านซ้ายมือนัก นั่นเพราะเขาไม่ค่อยสนใจกับธรรมชาติที่ทางบ้านบรรจงสร้างสรรค์นี้เท่าใด เพียงแต่เดินตรงจากประตูรั้วผ่านซุ้มไม้กลุ่มหนึ่งไปยังบ้านทันที
ตั้งแต่นั่งรถมาจนบัดนี้พ่อและแม่ของเขาก็มิได้พูดถึงเรื่องอุบัติที่เหตุที่เกิดขึ้น ทั้งเหตุการณ์รอดตายและรักษาแผลหายราวปาฏิหาริย์ซึ่งทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ขณะอยู่บนรถสามพ่อแม่ลูกต่างสนทนาแก้ขัดกัน วาทิตาเล่าให้เขาฟังว่าเมื่อวันก่อนมีนักข่าวเข้ามาสัมภาษณ์ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุรบนเหตุระเบิดและเพลิงไม้ที่รถไฟฟ้าเช่นกัน เพียงแต่กิติวัชญ์และวาทิตาขอให้ทางโรงพยาบาลช่วยปิดเรื่องของลูกชายไว้ มิเช่นนั้นวันนี้ข่าวเรื่องที่เขาหายดีและบาดแผลให้สนิทเป็นคนปรกติทั่วไปคงจะแพร่สะพัดไปทั่วประเทศแล้ว
พลัฏฐ์เมื่อได้ฟังว่ามีนักข่าวมาสัมภาษณ์ก็แอบดีใจ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็รู้สึกอดเสียดายอยู่มาก “ถ้าไม่ปิดข่าว เราคงจะได้ออกทีวีแล้ว” เขาครุ่นคิดขึ้น
ระหว่างทางเขาได้เล่าเหตุการณ์ที่พบเจอในรถไฟฟ้า ทั้งเรื่องที่พบเห็นคนที่ชื่อไวกูณฐ์ วรรษ เทียระ สรภู ข้ามผ่านรางรถไฟฟ้าได้เพียงก้าวขาครั้งเดียว การต่อสู้พัวพันกันกับคนที่ถูกเรียกว่า ’โจรพันหน้า’ เล่าในลักษณะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เมื่อนึกถึงผู้หญิงเสื้อวันพีชและการนอนกอดกันของพวกเขาบนชานชาลาในใจรู้สึกอายจึงไม่ได้เล่าถึงส่วนนี้
กิติวัชญ์รับฟังลูกชายเล่าอย่างเงียบในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนวาทิตาเมื่อฟังเรื่องเหนือโลกสุดที่เธอและใครจะคิดยิ่งกว่า “ละครหลังข่าว” หรือ “หนังแฟนตาซี” ได้ เธอจึงคิดในใจว่าลูกชายคงตกใจจนแต่งเรื่องโกหกไร้สาระขึ้น ความจริงคิดจะดุว่าลูกชายในเรื่องที่เขาพูดเหลวไหลแต่เห็นลูกชายเพิ่งออกจากโรงพยาบาลทั้งตนทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้พบเจอและพูดคุยกับลูกชายบ่อยๆจึงรับฟังโดยไม่ขัดการสนทนา
“พี่เกตุไปเรียนรึครับ?” พลัฏฐ์ถามถึงพี่สาวของตน ในครอบครัวของเขาประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว และตัวเขา รวมแล้วสี่คน พี่สาวของเขาขณะนี้กำลังเรียนอยู่คณะครุศาสตร์ มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
“น้ำ อย่าเพิ่งขึ้นห้องไปนะลูก เราต้องคุยกันก่อน....” กิติวัชญ์กล่าวกับลูกชายของตนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ครับ?” พลัฏฐ์ตอบ น้ำเสียงเปล่งด้วยความสงสัยแต่แล้วก็ผงกศีรษะครั้งหนึ่งคล้ายกับทราบว่าพ่อของเขาจะพูดเรื่องอะไร
ทั้งหมดนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ซึ่งจัดวางด้วยโต๊ะเตี้ย โซฟ้าสีน้ำตาลอ่อนวางเป็นรูปตัวยูหันหน้าหาทีวีเครื่องหนึ่ง ตรงกลางตั้งด้วยโต๊ะกระจกเงาข้างบนวางแจกันใบหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยกิติวัชญ์จึงกล่าว
“คุณครูที่โรงเรียนโทรมาบอกพ่อว่าลูกไม่ได้ไปโรงเรียนมาแปดวันแล้ว....”
พลัฏฐ์พอฟังได้แต่ยิ้มแหยๆกล่าว “ครับ” คำหนึ่ง แล้วก้มศีรษะต่ำลงไม่กล้ามองหน้าพ่อกับแม่ซึ่งกำลังจับจ้องมองดูเขา
เขาเพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้เพียงสองวันดังนั้นอีกหกวันที่เหลือก่อนหน้านี้ซึ่งเขายังคงใส่ชุดนักเรียนไปยืนอยู่บนชานชาลารถไฟฟ้าที่เดิมทุกวัน หมายความว่าที่ผ่านมานั้นแม้จะใส่ชุดนักเรียนออกจากบ้านทุกเช้าแต่เขาก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย!! | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Mon May 31, 2010 3:19 pm | |
| พลัฏฐ์นิ่งเงียบงันไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมเพียงยิ้มเล็กน้อย กิติวัชญ์และวาทิตาก็ไม่ได้พูดต่อเช่นกัน ในใจของวาทิตาคิดอยากจะถามลูกชายของตนว่า “ทำไม” หรือ “เพราะเหตุใด” ลูกชายของตนจึงทำเช่นนี้ ความจริงนิสัยของเธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมาแต่เนื่องด้วยลูกชายเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ประสบและผ่านพ้นเคราะห์ร้ายมาอย่างคาดไม่ถึงจึงไม่อยากดุด่าซ้ำเติมเพียงส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิ
กิติวัชญ์ดูจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สุขุมกว่า ตั้งแต่จำความได้ไม่ว่าลูกชายจะทำผิดมากน้อยเพียงใด เขาเพียงแต่จับจ้องมองลูกชายสายตามิได้แฝงการคาดคั้นเอาโทษเพียงมองอย่างสุขุม แม้ว่าเขายังไม่ได้ถามอะไรแต่มั่นใจว่าสักครู่หนึ่งลูกชายจะพูดออกมา
พลัฏฐ์นั่งโค้งตัวลง ก้มศีรษะต่ำกว่าเดิมค่อยๆขยับริมฝีปากปลดปล่อยคำพูดคำหนึ่งที่ค้างอยู่ออกมา “ขอโทษครับ...”
กิติวัชญ์พลันลุกขึ้น ก้าวเดินมายืนเบื้องหน้าลูกชายของตนยื่นมือกุมหลังศีรษะซึ่งกำลังก้มต่ำของเขาพลางกล่าวอย่างราบเรียบ “ที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ ตอนนี้โรงเรียนเพิ่งจะเปิดเทอมหวังว่าพรุ่งนี้ลูกจะไปโรงเรียนนะ แม่ก็คิดว่างั้นใช่ไหม” กล่าวจบเหลียวหน้ามาสบสายตากับวาทิตา
วาทิตาสบสายตากับสามี ทั้งสองคิดตรงกันว่าหากคาดคั้นต่อไปลูกชายคงจะไม่เล่าความในใจออกมา หวังรอโอกาสต่อไปค่อยหาจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้เลียบเคียงถามดู
“ใช่จ๊ะ ผ่านมาแล้วผ่านไปแม่ไม่โกรธลูกหรอกนะ” ผู้เป็นแม่กล่าวน้ำเสียงแฝงแววให้กำลังใจ พลางลุกขึ้นมาโอบไหล่ลูกชายเบาๆ
พลัฎฐ์เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า หันมามองแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งด้วยความตื้นตันใจที่ทั้งสองไม่คาดคั้นสาเหตุเรื่องราวและเอาโทษเขา ดวงตาพลันเอ่อคลอด้วยประกายน้ำตา พลางกล่าว
“พรุ่งนี้....ผมจะไปโรงเรียนแน่นอนครับ”
ในวันต่อมา พลัฏฐ์ตื่นนอนแต่เช้ามืด เขาเหลียวมองดูนาฬิกาปลุกรูปลายหัวกะโหลกไขว้บนหัวเตียงซึ่งกำลังส่งเสียงร้องปลุกเป็นเสียงเพลงแนวฮาร์ดคอร์บอกเวลาตีห้าพอดิบพอดี เขาทำกิจวัตรประจำวันตามปรกติ ล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน สวมใส่ชุดนักเรียนเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกขาวกางเกงสีดำ บนอกเสื้อปักอักษร ‘ส.ว.’ บ่งถึงสัญลักษณ์ย่อของชื่อโรงเรียนที่ตนเองศึกษา บนปกเสื้อด้านขวาปักเส้นวงกลมสีดำวงหนึ่งด้านในวงกลมปักเป็นรูปดาวห้าแฉกดวงหนึ่ง และกิจวัตรที่เขาไม่อาจขาดและลืมได้คือการยืนส่องมองกระจกบานใหญ่ซึ่งติดอยู่กับตู้เสื้อผ้าเพื่อสำรวจตนเองรอบหนึ่งว่าหน้าตามีอะไรผิดแปลกไปหรือไม่ การแต่งกายสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยดีหรือไม่ ข้างบานกระจกยังมีแถบกระดาษแผ่นหนึ่งบนกระดาษมีขีดเล็กๆประปรายติดด้วยตัวเลขไล่ตั้งแต่แปดสิบจนถึงสองร้อยยี่สิบเซนติเมตรบ่งชัดว่าเป็นแถบสำหรับวัดส่วนสูง ซึ่งในขณะนี้มีเม็ดแม่เหล็กสีเหลืองแปะอยู่ตรงความสูงที่หนึ่งร้อยหกสิบสามเซนติเมตรอันเป็นความสูงที่เขายืนวัดล่าสุดเมื่อสองวันก่อน
เขาใช้สายตากลอกไปมากวาดสำรวจไล่ระดับมาตั้งแต่ศีรษะลงมาจรดปลายเท้า ประการแรกที่เขาสังเกตเห็นพบว่าใบหน้าตนเองมีความผิดแปลกแตกต่างออกไป สีผิวของเขาซึ่งเดิมเป็นผิวสีแทนมองคล้ำเล็กน้อยแต่ในครั้งนี้กลับดูชุ่มชื่นสดใสขึ้น ปลายคิ้วชี้ยาวชันขึ้นแตกปลายออกเป็นสองแฉกอย่างชัดเจนขับเน้นให้ใบหน้าของเขาดูคมคายกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจกับสิ่งเหล่านี้เท่าใดนักเพราะบางครั้งคนเราก็มักจะคิดและอุปาทานไปว่าตนเองดูดีเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
การเปลี่ยนแปลงสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องร้องโพล่งออกมากลับเป็นศีรษะของเงาในกระจกซึ่งมีความสูงเลยกว่าเม็ดแม่เหล็กวัดความสูงอยู่พอสมควร เขาค่อยๆเลื่อนเม็ดแม่เหล็กไปอย่างช้าๆ จากความสูงร้อยหกสิบสามเซนติเมตรขึ้นไปเพื่อให้ตรงกับเงาสะท้อนในกระจก
“ร้อยหกสิบห้า... ร้อยหกสิบแปด.... ร้อยเจ็ดสิบ....ร้อยเจ็ดสิบสอง...” คำพูดเบาๆ พลางจับจ้องมองอย่างตื่นเต้นจนในที่สุดระดับก็ตรงกับเงาสะท้อน
พบว่าตอนนี้เม็ดแม่เหล็กอยู่ในขีดความสูงที่ร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร
“เฮ้ย! นี่เราสูงถึงขนาดนี้แล้วรึเนี่ย!?” พลัฏฐ์ตะโกนดังลั่นบ้าน น้ำเสียงแฝงด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจ เขาไม่กลัวจะโดนคนในบ้านดุด่าเพราะทราบดีว่าช่วงเวลานี้พ่อ แม่ และพี่สาวออกจากบ้านไปหมดแล้ว
“เป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย!?” พลัฏฐ์เกาศีรษะอย่างเหลือเชื่อ เมื่อวันก่อนเขาสูงเพียงร้อยหกสิบสามเซนติเมตร แต่ผ่านไปไม่กี่วันเขากลับสูงกระโดดถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!
พลัฏฐ์ลอบยกมือขึ้นถึงปลายคางทำท่าใช้ความคิด “หรือว่ากินนมเยอะๆแล้วมันจะทำให้ตัวสูงแบบฉับพลันได้” เหลือบมองไปยังนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาตีห้าครึ่ง พบว่าหากไม่รีบออกเดินทางก่อนตีห้าสี่สิบห้านาทีเขาจะพลาดรถประจำทางรอบแรกซึ่งจะแล่นเข้าสู่ตัวเมือง และถ้าพลาดรอบแรกนี้เขาก็หวุดหวิดที่จะไปโรงเรียนสายได้ เขามองหากระเป๋าเป้สีดำของตนเองแต่หาเท่าใดก็หาไม่เจอพอมาลองนึกดูแล้วก็พบว่ากระเป๋า หนังสือบางส่วนรวมทั้งโทรศัพท์มือถือได้ไหม้ไปพร้อมกับเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าเมื่อสองวันก่อนแล้ว จึงล้วงเข้าไปในลิ้นชักหยิบเป้สีเทาขึ้นมาใบหนึ่ง ตัวเป้แปะเข็มกลัดไว้หลายสิบชิ้น จากนั้นบรรจงยัดสมุดเปล่าลงไปสามเล่ม กล่องเหล็กใส่เครื่องเขียน เครื่องเล่นเอ็มพีสามตัวหนึ่ง รวมทั้งซองใบรับรองแพทย์เพื่อนำไปยื่นกับทางโรงเรียนยืนยันว่าตนเข้าโรงพยาบาล
พลัฏฐ์ขึ้นรถประจำทางปรับอากาศสายประจำที่แล่นเข้าตัวเมืองอย่างทันเวลาพอดิบพอดี ภายในรถตอนนี้หากไม่นับพนักงานขับรถและกระเป๋าเก็บค่าโดยสาร มีเพียงชายไว้ผมแสกหน้าใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกางเกงขายาวสีดำแบกกระเป๋าใบโตนั่งอยู่ตรงเบาะฝั่งขวากลางรถคนหนึ่ง กับเขาซึ่งนั่งอยู่เบาะท้ายรถรวมเป็นสองคน รถประจำทางสายนี้เป็นสายสำคัญแล่นผ่านหลายเขต พลัฏฐ์เผลอหลับไปครู่หนึ่งพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มีผู้โดยสารเต็มคันรถแล้ว ผู้คนเริ่มยืดเบียดเสียดกันโดยส่วนใหญ่หากมิใช่คนที่แต่งกายชุดทำงานก็เป็นนักเรียน โดยปกติเขาจะโดยสารรถคันนี้มาลงที่สถานีรถไฟฟ้าต้นทางเพื่อโดยสารรถไฟฟ้าไปยังโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง แต่เนื่องจากรถไฟฟ้าสถานีสุรศักดิ์ซึ่งเป็นสถานีกลางทางได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิดและไฟไหม้ ด้วยเหตุนี้สถานีดังกล่าวและสถานีวงเวียนใหญ่ต้นสายจึงปิดการให้บริการชั่วคราว เขาจึงต้องเปลี่ยนแผนการดำเนินทางจำเป็นต้องนั่งรถประจำทางคันนี้เลยไปอีกหลายป้ายเพื่อที่จะต่อรถประจำทางอีกสายหนึ่ง
เมื่อรถไฟฟ้าปิดตัวชั่วคราว ผู้คนที่เคยใช้รถไฟฟ้าเดินทางจึงต่างหันมาใช้รถบนท้องถนนในการเดินทาง ทำให้วันนี้การจราจรติดขัดมากเป็นพิเศษ
“เฮ้อ....ปกติรถก็ติดจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งไม่มีรถไฟฟ้ายิ่งติดหนักเข้าไปอีกนะเนี่ย” เสียงคนในรถเมลล์บ่นพึมพำ ผู้คนต่างมองออกไปยังนอกรถซึ่งไม่ว่าจะมองไปยังทางด้านใดก็เต็มไปด้วยรถที่ติดแน่นขนัด
“ฉันว่าลงไปเดินเองยังเร็วกว่าเลยล่ะมั้งเนี่ย” ผู้หญิงวัยทำงานคนหนึ่งยืนเท้าสะเอวบ่น
พลัฏฐ์นั่งเหม่อมองป้ายขนาดใหญ่ซึ่งแปะอยู่ข้างสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ เขียนคำว่า “งดให้บริการเพื่อปรับปรุงสิบวัน” ภาพเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนปรากฏผ่านเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้งหนึ่ง
การกระโดดข้ามรางรถไฟฟ้าไปยังอีกชานชาลาหนึ่ง การที่รถไฟฟ้าถูก ‘อะไรบางอย่าง’ เจาะทะลวงทะลุเป็นรูพรุน ทั้งหมดเกิดขึ้นผ่านสายตาของเขาทั้งสิ้นราวกับเวทย์มนต์ เขาเคยคิดว่าทั้งหมดอาจเป็นที่เพียงเรื่องละเมอเพ้อฝันแต่เมื่อลองทบทวนดูแล้ว ทุกรายละเอียดที่ผ่านตาทุกเสียงที่ได้ยินผ่านหู ทุกประสบการณ์ในค่ำคืนนั้นล้วนวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นเรื่องจริงที่เกินกว่าจะเป็นความฝันได้
พอเหลือบมองไปนอกรถพบว่าตนเองจะต้องลงสถานีป้ายหน้าจึงค่อยๆลุกขึ้นเบียดฝ่าผู้คนซึ่งยืนเกาะราวรถอยู่ ปากกล่าว “ขอโทษครับ” ขอให้ช่วยหลีกทางหลายครั้ง แต่ในใจยังทบทวนถึงเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าอยู่พลันนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ชายหน้าบากพูดกับเขาขณะที่กำลังจะสิ้นสติไป
“หาก....ร้าน ....ข้าง....หนังสือจุฬา”
“ข้าง...หนังสือจุฬา....หมายความว่ายังไงกันนะ” พอครุ่นคิดถึงจุดนี้ตัวเขาก็ลงจากรถมายืนอยู่ตรงป้ายรถประจำทางแล้ว
พลัฏฐ์พบว่ามือของตนเองถือจับอะไรบางอย่างมีลักษณะทั้งเหนียวแข็ง บางชิ้นอ่อนนุ่มคล้ายผ้า จึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู
“เฮ้ย!? นี่มัน” เขาร้องก้องออกมาด้วยความตกใจจนคนรอบๆป้ายรถประจำทางหันมามองเขาเป็นทางเดียวกัน พลัฏฐ์รู้สึกว่าตนเองกำลังอ้าปากค้าง ตาถลน เหงื่อเริ่มไหลผุดผาดออกมาเต็มใบหน้า เขาตกใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่อยู่ในมือ เพียงแวบเดียวมือของเขาก็สั่นระริกจนปล่อยของทั้งหมดที่กำอยู่ร่วงลงกับพื้นกระจัดกระจายอยู่รอบๆปลายเท้าของเขา
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย....!!”
ของเหล่านั้นกลับเป็นกระเป๋าเล็กๆหลากหลายใบหลากหลายสี บ้างก็เป็นกระเป๋าหนัง บ้างก็เป็นกระเป๋าผ้า บ้างก็เป็นกระเป๋าพลาสติกลายการ์ตูน
ทั้งหมดล้วนเป็นกระเป๋าสตางค์.... | |
|
| |
ultimatewp
Registered : 03/10/2008 Posts : 1399
Fame Gauge : พรรค<br> :
| เรื่อง: Re: นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ Thu Jun 03, 2010 10:49 am | |
| สถาบันการศึกษาภายในกรุงเทพมหานครจัดได้ว่าเป็นแหล่งวิทยาการความรู้ที่ทันสมัย ทุกท้องที่ต่างมีโรงเรียนมากมายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการศึกษาของเยาวชน หากจะกล่าวว่าตัวเมืองมีเขตในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจมากมาย เขตในการขับเคลื่อนระบบการศึกษาก็มีมากเช่นกัน แต่แม้จะมีโรงเรียนก่อตั้งขึ้นมากมาย ทั้งเก่าแก่นับร้อยปี หรือเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ไม่กี่ปีต่างอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ ในการตรวจสอบคุณภาพและการทำงานของผู้บริหารของโรงเรียนลงจนถึงระดับคณาจารย์ ตลอดทั้งปีโรงเรียนแต่ละแห่งจะมีการจัดการแข่งขันกันภายในเพื่อคัดเลือกนักเรียนผู้มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการ ทางกีฬาและกิจกรรม เพื่อลงแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆในระดับเขตและประเทศต่อไป
ก๊อง---ก๊อ---ง ก๊อ—ง
เสียงเคาะระฆังดังกังวานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชวนให้ประชาชนคนสัญจรทั่วไปหันมามองไปในทิศทางที่เสียงๆนั้นดังขึ้น ภายใต้รั้วสีขาวที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูตา เบื้องหน้าเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งแต่งชุดเครื่องแบบนักเรียนจำนวนมากกำลังวิ่งอย่างชุลมุนเลียดผ่านรั้วเหล่านี้ไปยังสุดปลายสายตาซึ่งมีประตูทางเข้าขนาดใหญ่เปิดอ้าอยู่ข้างประตูทางเข้าซึ่งติดกับรั้วนั้นมีแผ่นป้ายหินอ่อนขนาดใหญ่สลักคำว่า “สหัสสวิชยา” ผ่านเข้าไปในประตูทางเข้าเป็นลานอิฐโล่งกว้างแห่งหนึ่งด้านซ้ายตั้งไว้ด้วยป้อมเวรยามรักษาความปลอดภัยป้อมหนึ่ง บานประตูจัดทำเป็นบานกระจกทึบซึ่งป้องกันการมองเห็นจากภายนอก ด้านในจัดวางไว้ด้วยโซฟาขนาดเล็กและแผงอุปกรณ์วงจรวิทยุสำหรับขยายเสียงและสื่อสารชุดหนึ่ง ผนังด้านบนภายนอกป้อมติดไว้ด้วยนาฬิกากรอบสีเหลี่ยมเรือนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้บอกเวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบสี่นาที
“สามสิบห้า สามสิบหก สามสิบเจ็ด....” เสียงชายผู้หนึ่งกำลังยืนนับเวลาพลางจับจ้องมองนาฬิกาบนผนังตัดกับเสียงระฆังซึ่งยังดังอย่างต่อเนื่องดูจากใบหน้าอายุราวสามถึงสี่สิบปี ด้านข้างยืนไว้ด้วยชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งสวมเสื้อเชิตสีเทา กางเกงแสลคยาวสีดำ โดยเขากำลังมองไปอย่างลานเบื้องหน้าซึ่งขณะนี้มีนักเรียนมากมายต่างพากันวิ่งตะบึงผ่านไปอย่างไม่คิดชีวิต
แต่เดิมระเบียบทรงผมของนักเรียนโดยทั่วไป นักเรียนชายจะต้องตัดผมสั้นโดยไว้ผมทรงรองหวี หรือรองทรง นักเรียนหญิงมัธยมต้นต้องไว้ผมสั้น นักเรียนหญิงมัธยมปลายไว้ผมยาวได้แต่จะต้องรวบผมให้เรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ได้ปรับนโยบายใหม่ให้กับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาสามารถไว้ทรงผมได้อย่างอิสรเสรี ทำให้ได้เสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักเรียนและวัยรุ่นอย่างล้นหลาม แต่ทั้งนี้ย่อมได้รับเสียงต่อต้านจากทางฝ่ายผู้ปกครองและคณาจารย์บางกลุ่มเช่นกัน
“ห้าสิบแปด ห้าสิบเก้า หกสิบ!” ชายชุดวอร์มเมื่อนับถึงหกสิบ เรือนนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้าพอดิบพอดี พลางก้าวเท้าลงไปตรงกลางลานกั้นพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาทีแล้ว! นักเรียนที่มาหลังจากนี้ทุกคนถือว่ามาสาย ให้ทุกคนที่มาสายมาต่อแถวทางด้านนี้!” กล่าวพลางพานักเรียนมาตั้งขบวนด้านหน้าป้อมเรียงไปได้หลายแถว
นักเรียนที่มาภายหลังต่างพากันส่งเสียงร้องระงม | |
|
| |
| นิยายเรื่อยเปื่อย เหนื่อยพักงิ | |
|